ฮ่องกงยังชุมนุมใหญ่ต่อ! จี้รัฐบาลถอนกม.ส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้จีน

สำนักข่าวเอพีและเอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 562 กลุ่มแนวร่วมสิทธิมนุษยชนพลเรือน ผู้จัดการชุมนุมใหญ่ชาวฮ่องกงเพื่อต่อต้านการพิจารณาร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งจะเปิดทางให้ส่งผู้ต้องหาไปดำเนินคดีในจีนแผ่นดินใหญ่ แม้ว่าจะไม่มีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกันก็ตาม ยังเดินหน้าจัดชุมนุมประท้วงเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง แม้ว่า นางแคร์รี หล่ำ ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ประกาศระงับกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวไว้แบบไม่มีกำหนดตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมาแล้วก็ตาม โดยตั้งเป้าหมายกดดันให้รัฐบาลฮ่องกง ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกไป ยกเลิกการแก้ไขกฎหมายนี้ของสภานิติบัญญัติฮ่องกงไปเลย

นายจิมมี ชัม ตัวแทนของแนวร่วมฯ ยังเรียกร้องให้นางหล่ำ ลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความพยายามแก้ไขกฎหมายนี้ ซึ่งเปรียบได้กับการโยนมีดเข้าใส่ฮ่องกงทั้งเมือง และแทบแทงทะลุหัวใจของชาวฮ่องกงไปแล้ว ดังนั้นการตัดสินใจระงับการพิจารณาไว้จึงไม่เพียงพอเพราะทางการยังคงปฏิเสธที่จะถอนร่างกฎหมายนี้ออกไปจากการพิจารณาอยู่นั่นเอง นอกเหนือจากนั้นแล้วทางกลุ่มผู้ประท้วงและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่ยังไม่พอใจที่นางหล่ำ ไม่ยอมใช้โอกาสที่เปิดให้หลายต่อหลายครั้ง ขอโทษต่อชาวฮ่องกงต่อการใช้มาตรการเด็ดขาดปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งส่วนใหญ่เป็นการชุมนุมประท้วงโดยสันติ แต่กลับถูกกวาดล้างด้วยวิธีการรุนแรง จนทำให้การชุมนุมเมื่อวันที่ 12 มิถุนายนกลายเป็นการชุมนุมประท้วงใหญ่ที่สุดและรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ฮ่องกง แม้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะอ้างว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ประท้วงที่ใช้ความรุนแรงก็ตาม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชนชี้ว่า ตำรวจใช้การกระทำของกลุ่มผู้ประท้วงส่วนน้อยเป็นข้ออ้างบังหน้าในการปราบปรามการชุมนุมอย่างรุนแรงเท่านั้นเอง

กลุ่มผู้ประท้วงรวมตัวกันหลายพันคนและเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปยังศูนย์นิติบัญญัติแห่งฮ่องกงในย่านดาวน์ทาวน์อีกครั้งตั้งแต่ช่วงบ่าย ขณะที่มีประชาชนกลุ่มหนึ่งวางดอกไม้ไว้อาลัยบริเวณทางเท้าใกล้ช้อปปิ้งมอลล์แห่งหนึ่ง เพื่อไว้อาลัยต่อการเสียชีวิคของผู้ประท้วงรายหนึ่งซึ่งพยายามปีนนั่งร้านของห้างฯที่กำลังก่อสร้างขึ้นไปเพื่อแขวนป้ายข้อความประท้วงแต่พลัดตกลงมาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา

 

ที่มา:มติชนออนไลน์