สำนักข่าวรอยเตอร์และเอเอฟพีรายงานว่า การดีเบตของผู้สมัครชิงเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต 20 คน เพื่อลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปีหน้า สิ้นสุดลงแล้วเมื่อคืนวันที่ 27 มิถุนายน หลังการดีเบตรอบแรกเป็นไปอย่างดุเดือดกินเวลายาวนาน 4 ชั่วโมง ในการดีเบตซึ่งจัดขึ้นที่เมืองไมอามี สหรัฐอเมริกา
โดยนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ ในวัย 76 ปี ซึ่งเป็นตัวเต็งในการชิงชัยครั้งนี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างถล่มทลายจากผู้สมัครหลายคนในการดีเบตครั้งนี้ และถูกเรียกร้องให้ยกเลิกการร่วมแข่งขันครั้งนี้และเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาแข่งขันเพื่อจัดการกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
เช่นนายเอริค สวอลเวล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรวัย 38 ปี เรียกร้องให้ไบเดน ส่งต่อคบเพลิงให้คนรุ่นใหม่ ที่จะเข้ามาจัดการปัญหาต่างๆได้ดีกว่า ทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศโลก ระบบประกันสุขภาพ และการลดปัญหาความรุนแรงจากอาวุธปืน แต่นายไบเดนยืนยันว่า ตนจะขอถือคบเพลิงต่อไป และยังได้วิจารณษ์นโยบายที่น่ากลัวของ ทรัมป์ ที่ทำให้รายได้ของประชาชนน้อยลง
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- หุ้นไทยดิ่งหนัก ตลาดหลักทรัพย์ออก Statement ชี้แจง
- “ทอง” รับข่าวร้ายดันราคาขาขึ้น บาทอ่อนค่าจ่อทะลุ 37 บาท
ขณะที่ผู้สมัครที่โดดเด่นที่สุดในการดีเบตครั้งนี้ คือนางคามาลา ฮาร์ริส วุฒิสมาชิกจากรัฐแคลิฟอร์เนีย สตรีผิวสีเพียงคนเดียวที่ร่วมในการแข่งขันครั้งนี้ ที่เรียกได้ว่ามีคะแนนนำโด่ง ได้โจมตีนายไบเดนได้อย่างดุเดือด เรียกเสียงปรบมือจากผู้ฟังได้อย่างมาก รวมไปถึงการเรียกร้องให้ไบเดน หวนไปคิดถึงการแสดงความคิดเห็นที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเกี่ยวกับเรื่องการแบ่งแยกสีผิว ซึ่งไบเดนออกมาตอบโต้ว่า ตนไม่ได้ยกย่องการแบ่งแยกสีผิวและเชื้อชาติแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ฮาร์ริส ยังกล่าวในการดีเบตว่า แน่ใจว่าไมโครโฟนที่อยู่ในมือของตนในฐานะประธานาธิบดีจะถูกใช้เพื่อการสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของประเทศ
ขณะที่นายพีท บัตติกีก นายกเทศมนตรีเมืองเซาท์ เบนด์ รัฐอินเดียนา ออกมาตอบในหลายๆเรื่อง รวมไปถึงการตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเรื่องที่ตำรวจผิวขาวก่อเหตุยิงชายผิวดำ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ที่เมืองเซาท์ เบนด์ ที่นายบัตติกีก ถูกมองว่าไม่ได้ลงมือแก้ปัญหาเรื่องในสำนักงานตำรวจ ซึ่งนายบัตติกีกยืนยันว่า ได้มีการทำทุกสิ่งในฐานะชุมชน ทั้งการฝึกและลดระดับความรุนแรง แต่ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตของชายผิวดำเอาไว้ได้
นอกจากนี้ ยังมีการดีเบตกันในเรื่องเกี่ยวกับสาธารณสุข ที่มีการโต้กันว่า ควรจะปรับระบบไปเป็นระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้อยู่ร่วมกับประกันของเอกชนหรือไม่ ซึ่งมีผู้สมัครเพียง 4 คนเท่านั้นที่เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว
สำหรับประเด็นภาษี มีการโต้แย้งกันถึงอัตราการเสียภาษีของชนชั้นกลาง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศในการหาเสียงครั้่งใหม่ว่าจะปรับลดภาษีให้แก่ชนชั้นกลาง แต่ทางเดโมแครตเองยังพยายามหาจุดยืนตอบโต้ในเรื่องดังกล่าว แต่ผู้สมัครทุกคนของเดโมแครตต่างเห็นไปในแนวทางเดียวกันที่จะคัดค้านการยกเลิกภาษีสำหรับคนร่ำรวย และบางคนเห็นว่าควรจะมีการเก็บภาษีคนรวยให้มากขึ้นด้วย
ที่มา : มติชนออนไลน์