ภายหลังจากที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนลุกลามกลายเป็น “สงครามเทคโนโลยี” จากที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศคำสั่งขึ้นบัญชีดำบริษัทเทคโนโลยีของจีน ห้ามบริษัทของสหรัฐทำธุรกิจร่วมกับบริษัทเหล่านี้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยพุ่งเป้ามาที่ “หัวเว่ย” แต่ล่าสุดบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐหลายรายได้กลับมาดำเนินธุรกิจกับหัวเว่ยอีกครั้งแล้ว
“ซีเอ็นเอ็น” รายงานว่า “ไมโคร เทคโนโลยี” บริษัทผู้ผลิตหน่วยความจำหรือ “ชิป” รายใหญ่ของสหรัฐ ได้กลับมาทำธุรกิจกับหัวเว่ยแล้ว โดยไม่ละเมิดกฎของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ห้ามการส่งออกสินค้าบางชนิดตามคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
“ซันเจย์ เมห์รอตรา” ซีอีโอของไมโคร เทคโนโลยี ระบุว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้ปฏิบัติตามคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยการระงับการส่งผลิตภัณฑ์ให้กับหัวเว่ยทันทีในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา
แต่ภายหลังจากตรวจสอบคำสั่งห้ามการส่งออกผลิตภัณฑ์โดยละเอียด พบว่า “บางส่วนของผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน” ไม่ได้อยู่ภายใต้คำสั่งแบนของประธานาธิบดีและยังสามารถขายให้กับหัวเว่ยได้อย่างถูกกฎหมาย
“อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นกับหัวเว่ยอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า เราจะสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ให้หัวเว่ยได้นานเท่าไหร่และมากน้อยเพียงใด”
นอกจากไมโคร เทคโนโลยี แล้วยังมีบริษัทของสหรัฐอีกหลายราย ที่ยังคงส่งผลิตภัณฑ์ให้กับหัวเว่ยตามรายงานของ “เดอะวอลล์สตรีต เจอร์นัล” ระบุว่า “ควอลคอมม์” ผู้ผลิตชิปสื่อสารไร้สาย ยังจัดส่งชิ้นส่วนคลื่นความถี่วิทยุให้หัวเว่ย
ขณะที่ “อินเทล” ก็กลับมาจัดส่งผลิตภัณฑ์ให้หัวเว่ยแล้วเช่นกัน ขณะที่เฟล็กซ์ และโอเอ็น เซมิคอนดักเตอร์ ก็เตรียมจะกลับมาส่งขายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้หัวเว่ยเช่นกัน
“จอห์น เนฟเฟอร์” ประธานสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐ ระบุว่า บริษัทผู้ผลิตชิปของสหรัฐสามารถส่งสินค้าบางประเภทให้กับหัวเว่ยได้โดยไม่ละเมิดกฎของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า บริษัทอเมริกันพยายามหาช่องทางที่จะคงความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับหัวเว่ยต่อไป โดยที่ยังคงปฏิบัติตามคำสั่งแบนของทางการสหรัฐด้วย
สะท้อนภาพของหัวเว่ยที่ยังครองความเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีอิทธิพลและโค่นลงได้ยาก ต้องติดตามต่อไปว่าความเคลื่อนไหวนี้จะขยายวงออกไปมากเพียงใด และจะส่งผลต่อทิศทางของสงครามการค้าหรือไม่