ความจริงจาก 300 บริษัทมะกัน ซัด “เทรดวอร์” ทำเสียเปรียบ

ทั้งผู้เชี่ยวชาญและสื่ออเมริกันพูดตรงกันหลายครั้งว่า สาเหตุที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดึงดันทำสงครามการค้ากับจีนด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน จนสร้างความปั่นป่วนและเสียหายต่อเศรษฐกิจ-การค้าโลกอยู่ในขณะนี้ เป็นเพราะทรัมป์ไม่มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจ (economic illiteracy) จึงเข้าใจไปว่าการขาดดุลการค้ามหาศาล เกิดจากการซื้อสินค้าจีนเป็นหลัก ทั้งที่การขาดดุลการค้าเกิดจากหลายปัจจัย หนึ่งในปัจจัยนั้นคืออเมริกามีอัตราการออมต่ำ ใช้เงินมากกว่าที่หามาได้ ซึ่งจะเห็นว่าแม้จะขึ้นภาษีสินค้าจากจีนไปแล้วหลายเดือน การขาดดุลการค้ายังคงเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ แนวคิดของทรัมป์ที่ว่าการเล่นงานจีนเพื่อบีบให้บริษัทอเมริกันย้ายฐานการผลิตออกจากจีนและกลับมาในประเทศเพื่อสร้างตำแหน่งงานให้คนอเมริกัน ก็เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความจริงและเป็นไปได้ยาก เพราะถึงแม้บริษัทอเมริกันและบริษัทสัญชาติอื่น ๆ จะย้ายหนีออกจากจีน แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้กลับมาอเมริกา เนื่องจากต้นทุนแรงงานในอเมริกาสูงกว่า

ความไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจของทรัมป์ คือสาเหตุที่ทำให้ “แกรี่ โคห์น” ลาออกจากที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทรัมป์ เพราะไม่เห็นด้วยกับการขึ้นภาษีสินค้าจากจีน ดังที่เป็นข่าวครึกโครมไปแล้วก่อนหน้านี้

เมื่อลาออกแล้วเขายังให้สัมภาษณ์เปรย ๆ ว่า ทรัมป์คงไปฟังความเห็นคนอื่นมากไป จึงคิดว่าเมื่อเล่นงานจีนแล้วบริษัทอเมริกันจะย้ายกลับประเทศ เขาบอกว่าถ้าสินค้าเหล่านั้นบริษัทอเมริกันผลิตได้เองในราคาถูกกว่า ดีกว่า เราก็คงผลิตไปนานแล้ว

ประเด็นหนึ่งที่ภาคธุรกิจและนักเศรษฐศาสตร์ทักท้วงกันมาโดยตลอดก็คือ การขึ้นภาษีสินค้าจากจีนจะทำให้ผู้บริโภคอเมริกันซื้อสินค้าในราคาแพงขึ้น แต่ถึงกระนั้นทรัมป์ก็ยังเดินหน้าเก็บภาษีจากจีน ซึ่งจนถึงขณะนี้เก็บไปแล้วจากสินค้ามูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ในอัตรา 25% และขู่ว่าจะขึ้นภาษีในส่วนที่เหลืออีก 3 แสนล้านดอลลาร์

ขณะที่ทรัมป์ก็ยังพูดความจริงด้านเดียวว่า อเมริกาไม่เดือดร้อน เพราะสามารถเก็บภาษีจากจีนได้เพิ่มขึ้นทุกเดือน

ความบ้าระห่ำของทรัมป์ ทำให้บริษัทอเมริกันขนาดใหญ่ส่งเสียงโวยวายดังขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งล่าสุดสัปดาห์ก่อน บริษัทอเมริกันกว่า 300 รายได้เข้าพบและให้ปากคำต่อสำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐ เพื่อให้ข้อมูลว่าการเพิ่มภาษีสินค้าจีนไปเรื่อย ๆ จะส่งผลกระทบและทำให้ธุรกิจของพวกตนพ่ายแพ้คู่แข่งต่างประเทศอย่างไรบ้าง

สื่ออเมริกันได้นำเสนอความเห็นของบริษัทอเมริกันใหญ่ ๆ ที่ให้ปากคำต่อสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ ที่น่าสนใจ อาทิ เจสัน บอนฟิก หัวหน้าเจ้าหน้าที่จัดซื้อของเบสต์บาย ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคระบุว่า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคไม่ใช่สินค้าโภคภัณฑ์ และในหลายผลิตภัณฑ์ชั้นนำไม่มีสินค้าใดที่ผลิตนอกประเทศจีนสามารถจะมาทดแทนได้ในระยะสั้น ผู้ผลิตอเมริกันอาจเสียส่วนแบ่งการตลาดโดยทันทีให้กับคู่แข่งต่างชาติที่สินค้าไม่ได้ผลิตในจีน

ส่วน แอนดี้ ไบเดอร์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไปของเอชพี อิงก์ บอกว่า เอชพีเจอปัญหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในจีน แต่ในมุมมองของเรา ไม่เห็นว่าการใช้มาตรการทางภาษีแบบครอบคลุมจะเป็นการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ เรากังวลว่าการขึ้นภาษีจะเป็นคุณแก่ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยซ้ำ

เพราะการขึ้นภาษีจะทำให้ราคาของเอชพีสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสินค้าที่ต้องสงสัย อีกทั้งไม่ช่วยให้เรากำจัดสินค้าต้องสงสัยออกไปจากตลาด “พูดกันตรง ๆ ภาษีสร้างความเสียหายให้กับผู้บริโภคและต่อผู้ถือลิขสิทธิ์ทางปัญญาอย่างเอชพีมากกว่าจะสร้างอุปสรรคต่อผู้ละเมิด”

นั่นคือความเห็นของบรรดาผู้บริหารของบริษัทอเมริกัน ที่ชี้ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หากทรัมป์ยังดึงดันจะเดินหน้าเก็บภาษีสินค้าจีน และอาจจะเป็นเพราะเสียงโวยที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ของบริษัทเอกชนก็เป็นได้ จึงทำให้มีรายงานข่าวออกมาล่าสุดว่ารัฐบาลสหรัฐพร้อมจะระงับการขึ้นภาษีสินค้าจากจีนในส่วนที่เหลือดังกล่าวเอาไว้ก่อน