เดินหน้ารีดภาษีจีน ทำ “ทรัมป์” ส่อแพ้เลือกตั้ง

คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจโลก โดย นงนุช สิงหเดชะ

 

การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้บทแข็งกร้าวด้วยการเพิ่มภาษีสินค้าจากจีนขึ้นไปเรื่อย ๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเพราะต้องการหาคะแนนนิยมจากชาวอเมริกัน เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายนเป็นต้นมา เข้าสู่ฤดูกาลรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2020

แม้แต่จีนก็มองออกในประเด็นนี้ที่ผ่านมา เมื่อสิ้นหวังที่จะให้โดนัลด์ ทรัมป์ เลิกทำสงครามการค้ากับจีนด้วยวิธีขึ้นภาษีสินค้าแบบเหวี่ยงแห มักพูดกันว่าคงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้ทรัมป์พ่ายแพ้เลือกตั้งสมัยที่ 2 ไปเอง เพราะการทำสงครามการค้ามีแต่ผลเสียทั้งสองฝ่าย และคนอเมริกันเองก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย โดยเฉพาะภาคเกษตรที่เคยส่งออกไปขายให้กับจีนเดือดร้อนหนักเช่นกัน ทรัมป์ต้องซื้อเวลาด้วยการนำงบประมาณมาชดเชยให้เกษตรกร ดังนั้น ทรัมป์อาจสูญเสียฐานเสียงเดิมไปบางส่วน

ล่าสุด เดวิด ไฟร์สไตน์ ผู้อำนวยการบริหารศูนย์ศึกษานโยบายจีนแห่งมหาวิทยาลัยเทกซัส ออสติน ให้สัมภาษณ์ว่า หากทรัมป์ยังคงเดินหน้าเก็บภาษีสินค้าจีนคงไม่สามารถชนะเลือกตั้งสมัยที่ 2 เพราะหากทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะทำร้ายเศรษฐกิจอเมริกาและผู้บริโภคชาวอเมริกัน จึงมีแนวโน้มที่ทรัมป์จะสูญเสียฐานเสียงที่เคยทำให้เขาชนะเลือกตั้งเฉียดฉิวเมื่อปี ค.ศ. 2016 โดยสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นให้เห็นแล้วจากสงครามการค้ากับจีน ก็คือ การส่งออกถั่วเหลืองของสหรัฐลดลง กระทบต่อเกษตรกรและผู้ผลิตสินค้าเกษตรต่าง ๆ ที่เคยเป็นฐานเสียงของทรัมป์ หากสภาพเช่นนี้ยังดำรงอยู่ต่อไป คงเป็นการยากที่ฐานเสียงเหล่านี้จะพร้อมใจกันสนับสนุนทรัมป์อย่างเป็นเอกฉันท์ในการเลือกตั้งสมัยที่ 2

ไฟร์สไตน์ระบุด้วยว่า การขึ้นภาษีสินค้าจากจีนยังส่งผลลบต่อผู้บริโภคชาวอเมริกันด้วย เนื่องจากเป็นการเพิ่มภาระภาษีให้กับชาวอเมริกันทุกกลุ่มค่อนข้างมาก “ผมคิดว่าประธานาธิบดีทรัมป์ทราบดีว่าประเด็นนี้จำกัดทางเลือกของเขาในการเจรจากับรัฐบาลจีน”

ความเห็นของไฟร์สไตน์ที่ว่า ทรัมป์น่าจะเริ่มตระหนักว่าการทำสงครามการค้ากับจีนกำลังจะเป็นบูมเมอแรงกลับมาซัดคะแนนนิยมของเขา สอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญก่อนหน้านี้ที่ว่า การเจรจาการค้านัดล่าสุดระหว่างทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ญี่ปุ่นเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ดูเหมือนจีนจะเป็นฝ่ายชนะ วัดจากท่าทีของทรัมป์ที่อ่อนลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการประกาศว่าจะอนุญาตให้บริษัทอเมริกันขายผลิตภัณฑ์ให้กับบริษัทหัวเว่ยของจีนได้ พูดกลับกันก็คือ อนุญาตให้หัวเว่ยซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทอเมริกันคราวละมาก ๆ ได้

การอนุโลมให้บริษัทอเมริกันขายสินค้าให้กับหัวเว่ย สะท้อนว่าการเล่นงานหัวเว่ยทำให้บริษัทอเมริกันขาดลูกค้ารายใหญ่ ขาดรายได้มหาศาล ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทรัมป์แสดงท่าทีจะเล่นงานหัวเว่ยแบบกำจัดให้สิ้นซาก ปิดประตูการทำธุรกรรมกับบริษัทอเมริกันทุกช่องทาง เนื่องจากเห็นว่าเป็นวิธีที่จะตัดแข้งตัดขาจีนไม่ให้ผงาดขึ้นมาได้อย่างชะงัด ซึ่งประเด็นการทำลายหัวเว่ยนี้ในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนเห็นว่า จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกรุนแรงกว่าการเก็บภาษีสินค้าทั่วไปอื่น ๆ ของจีนเสียอีก เนื่องจากเป็นการทำลายห่วงโซ่อุปทานระดับโลกอย่างร้ายแรงเป็นวงกว้าง

ตามข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐ ระบุว่า การทำสงครามการค้ากับจีนด้วยมาตรการภาษี ทำให้ราคาสินค้าเกษตรของอเมริกาพุ่งขึ้น มีผลให้ปีที่แล้วรายได้ส่งออกของผู้ผลิตสินค้าเกษตรลดลง 74% มูลค่าการส่งออกถั่วเหลืองลดเหลือเพียง 3.1 พันล้านดอลลาร์ จากที่เคยส่งออกได้ 1.22 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2017

นอกจากนี้ ผลวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุเช่นกันว่า ภาษีเกือบทั้งหมดถูกส่งผ่านไปยังชาวอเมริกัน หมายความว่าผู้บริโภคอเมริกันและผู้ผลิตคือผู้แบกรับภาระภาษีของทรัมป์ ไม่ใช่ผู้ส่งออกจีนแต่อย่างใด

สำหรับโพลล่าสุดเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะมีขึ้นในปี ค.ศ. 2020 นั้น พบว่าโพลที่จัดทำโดยวอชิงตันโพสต์และเอบีซี นิวส์ของสหรัฐ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต มีคะแนน 53% นำทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งได้เพียง 43%