ทูตฯ ฝรั่งเศสประจำไทยชี้ นักธุรกิจแดนน้ำหอมสนใจโปรเจ็กต์ EEC

“วันชาติฝรั่งเศส” ซึ่งตรงกับวันที่ 14 ก.ค. ของทุกปี ทั้งนี้ สถานทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองในวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่โรงแรมพลูแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ฌากส์ ลาปูฌ” เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทยคนใหม่ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 6 ก.ย.ปี 2018 ที่ผ่านมา โดยได้กล่าวต่อสื่อมวลชนในประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างฝรั่งเศสกับไทย โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและความร่วมมือต่างๆ

โดยระบุว่า เป็นห้วงเวลาสำคัญของการพัฒนาในประเทศไทยจากกลับกลับสู่ระบบรัฐสภาตัวแทน และการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก นอกจากนี้ ไทยยังได้ดำรงตำแหน่ง “ประธานอาเซียน” ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา จึงนับว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากที่จะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ฝรั่งเศส พร้อมร่วมกันสร้างมิติใหม่ในด้านต่างๆ ด้วย

นอกจากนี้ ยังเป็นวาระการครบรอบ 333 ปี ของการส่งคณะราชทูตสยาม นำโดยเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ไปยังฝรั่งเศส เมื่อปี 1686 ซึ่งทั้งสองประเทศจะเฉลิมฉลองโอกาสดังกล่าวในเดือน ก.ย.นี้ เป็นความริเริ่มของกระทรวงการต่างประเทศของไทย

เอกอัครราชทูต ฌากส์ ลาปูฌ กล่าวด้วยว่า ฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีกับไทย โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาทั้งฝรั่งเศสและไทยมีการเข้ามาลงทุนระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาคเอกชนของฝรั่งเศสได้แสดงความสนใจในโครงการพัฒนาและโปรเจ็กต์ต่างๆ ของรัฐบาลไทย เช่น โปรเจ็กต์พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยที่ผ่านมานักลงทุนของฝรั่งเศสเข้ามาลงทุนบ้างแล้วใน “อุตสาหกรรมการบิน” รวมไปถึง โครงการพัฒนาด้านคมนาคมการขนส่งของไทยที่ฝรั่งเศสมองว่า มีศักยภาพและน่าสนใจหากจะเข้ามาลงทุน

นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส กล่าวด้วยว่า ฝรั่งเศส มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายด้าน ซึ่งการเข้ามาของฝรั่งเศสนั่นรวมไปถึง กลุ่มคลังสมองอย่างวิศวกร ธุรกิจการแพทย์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับงานบริการ เป็นต้น

ทั้งนี้ ภาคธุรกิจของฝรั่งเศสมองว่าไทยเป็นตลาดที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ซึ่งการรื้อฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (EU) น่าจะช่วยให้มีการเปิดตลาดมากขึ้น และกระตุ้นภาคเศรษฐกิจระหว่างกัน โดยนายลาปูฌ กล่าวว่า การบรรลุข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-อียู มีความสำคัญต่อทั้งสองประเทศมาก ซึ่งไทยเองจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลด้วยเช่นกัน จากความเป็น “ซิงเกิลมาร์เก็ต” ของอียูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

“สถานทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย จะสนับสุนนการรื้อฟื้อการเจรจาดังกล่าวอย่างเต็มที่ ขณะที่ไทยเองก็ได้รัฐบาลชุดใหม่แล้ว” ทูตฯ ลาปูฌ กล่าวว่า ไทย เป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของฝรั่งเศสในภูมิภาคอาเซียน จากการแลกเปลี่ยนการค้าการลงทุน นอกจากนี้ สถานทูตฝรั่งเศสพยายามเพิ่มบทบาทเพื่อเสริมสร้างและผลักดันให้ไทยมีบทบาทเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอินโดจีน

ทั้งนี้ ความพยายามดังกล่าวทำให้ฝรั่งเศสสนใจที่จะพัฒนาและเพิ่มยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ระหว่างประเทศกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม รวมถึงความร่วมมือในระดับภูมิภาคอื่นๆ

พร้อมกันนี้ ทูตฯ ลาปูฌ กล่าวโดยอ้างถึง ประธานาธิบดีเอมานุแอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ว่าต้องการส่งเสริมความร่วมมือกับไทยในหลากหลายด้านไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะประเด็นเรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น เช่น ส่งเสริมภาษาฝรั่งเศสในไทยให้แพร่หลายมากขึ้น โดยสนับสนุนให้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายอื่นๆ ได้แก่ สมาคมฝรั่งเศสในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด, โรงเรียนนานาชาติฝรั่งเศส และผลักดันให้มีครูภาษาฝรั่งเศสทั้งในระดับมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัยในด้านวิชาการและวิทยาศาสตร์

ทั้งกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า “ไทยและฝรั่งเศส” มีความคล้ายคลึงกันหลายประการ ทั้งขนาดของประชากรที่ใกล้เคียงกัน การยึดมั่นในเอกราช การให้ความสำคัญกับเอกลักษณ์และมรดกของชาติ รวมถึงรสนิยมในด้านศิลปะการใช้ชีวิต ขณะที่ให้การส่งเสริมในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเหมือนกันด้วย