ชื่อของ “BRICS” กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่รายใหญ่ (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) กลับมาโดดเด่นและอยู่ในความสนใจอีกครั้ง จากการที่จีนเป็นเจ้าภาพจัดประชุมประจำปีครั้งที่ 9 ในเมืองเซียะเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน ระหว่างวันที่ 3-5 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างให้ความสนใจเกี่ยวกับการเดินหน้าสร้างอัตลักษณ์ของกลุ่ม BRICS ในทุกมิติ
ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซา บวกกับกระแสการต่อต้านโลกาภิวัตน์ที่เพิ่มขึ้นในชาติตะวันตก รวมถึงความไม่มั่นคงระดับภูมิภาคจากปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาทางภูมิศาสตร์การเมือง
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
ความน่าสนใจของ BRICS คือ ครอบคลุมประชากรโลกราว 44% และปริมาณการค้าโลก 23% และการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา 50% เป็นผลมาจากการเติบโตของกลุ่มดังกล่าว
ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดประชุมสุดยอดกลุ่ม BRICS ว่า ชาติในกลุ่มเศรษฐกิจดังกล่าว
ต้องร่วมมือกันส่งเสริมการค้าเสรีและระบบเศรษฐกิจที่เปิดกว้างและเอื้ออำนวยให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันสร้างสรรค์ห่วงโซ่ทรงคุณค่าของโลก เพื่อให้สามารถบรรลุถึงสภาวะทางเศรษฐกิจโลกซึ่งมีความสมดุลอย่างแท้จริง
นายสียังแสดงความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ต่อพัฒนาการของชาติสมาชิกบริกส์ แม้ว่าในระยะหลังหลายฝ่ายอ้างว่า อิทธิพลของ BRICS ลดน้อยถอยลง เพราะเศรษฐกิจของชาติสมาชิกแต่ละชาติชะลอตัว และย้ำว่า พัฒนาการของชาติเศรษฐกิจใหม่รวมถึงชาติกำลังพัฒนาทั้งหลาย ไม่ได้เป็นการพัฒนาไปเพื่อยื้อแย่งส่วนแบ่งของใคร แต่มีเป้าหมายต้องการทำให้องค์รวมทางเศรษฐกิจของโลกขยายตัวเพิ่มขึ้น เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ด้วยกัน
นอกจากนี้ สียังระบุว่า “โครงการเส้นทางสายไหมใหม่ของจีน มีส่วนเสริมสร้างความพยายามของ BRICS ให้เป็นจริง อีกทั้งจะเอื้อต่อการค้าและการหลั่งไหลของเงินทุน ขณะเดียวกันโครงการนี้ชูเป้าหมายการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายการค้าตามเส้นทางสายไหมเดิม ถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้วย”
รอยเตอร์สระบุว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีอีกครั้งสำหรับจีน ในการแสดงบทบาทผู้นำกลุ่มประเทศที่เชื่อถือในแนวทางโลกาภิวัตน์ เพื่อเผชิญหน้ากับแนวนโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์”
“ศรีกานต์ คอนดาพาลลี” อาจารย์จากศูนย์เอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยวาฮาร์ลาล เนห์รู กรุงนิวเดลี กล่าวว่า โครงสร้างธรรมาภิบาลโลกและเอกภาพของ BRICS กำลังค่อย ๆ ปฏิรูปตามการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะนโยบายของสหรัฐ “America First” ที่เป็นความเสี่ยงและท้าทายต่อประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้น มีความจำเป็นที่ BRICS ต้องหารือกันภายใต้ความมุ่งมั่นที่จะยุติการผูกขาดของชาติตะวันตก และหันไปทำการค้าการลงทุนระหว่างกันมากกว่าเดิม
“เอลิซาเบธ ซิเดอโรโพลลัส” ซีอีโอสถาบันความร่วมมือระหว่างประเทศทางใต้ (SAIIA) ทีมวิจัยของแอฟริกาใต้ มองว่า BRICS ถือเป็นเวทีชั้นนำสำหรับความร่วมมือระหว่างประเทศเกิดใหม่ ซึ่งทั่วโลกมุ่งประเด็นไปที่การขยายบทบาทด้านธรรมาภิบาลในโลก โดยกลุ่ม BRICS ได้ดำเนินการจัดตั้งธนาคารการพัฒนาใหม่ (NDB) ในนครเซี่ยงไฮ้ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนายั่งยืน โดยปี 2016 ได้ปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการก่อสร้างในแอฟริกาใต้ 5 โปรเจ็กต์ มูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์ เนื่องจาก “แอฟริกาใต้” ถือว่าเป็นตลาดเกิดใหม่ที่ต้องการงบประมาณในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างเร่งด่วน
และเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา NDB ได้เปิดสำนักงานภูมิภาคแห่งแรกที่โจฮันเนสเบิร์กแอฟริกาใต้ เป็นการส่งสัญญาณว่าธนาคารจะเพิ่มบทบาทสนับสนุนการเติบโตในประเทศกำลังพัฒนาอย่างเต็มที่ แม้ภาพรวมการเจรจาครั้งนี้ BRICS แสดงความเชื่อมั่นต่อประชาคมโลกมากขึ้น ถึงความมุ่งมั่นที่เป็นหนึ่งเดียวกันและมีบทบาทในเวทีโลก แต่นักวิเคราะห์บางรายตั้งข้อสันนิษฐานว่า ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจการค้า และการเงิน ของสมาชิกทั้ง 5 ต่างก็ปฏิรูปบนพื้นที่ที่แตกต่างกัน มีความเหลื่อมล้ำอันเกิดจากพื้นฐานการเมืองและเศรษฐกิจแต่ละประเทศ
ยิ่งกว่านั้นการแย่งชิงเป็นผู้กุมบทบาทใหญ่ของ BRICS อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะ “จีนและอินเดีย” ที่ต่างประกาศว่าประเทศตนเป็นใหญ่ในดินแดนเอเชีย ประกอบกับความขัดแย้งเดิมในประเด็นเทือกเขาหิมาลัย และที่จีนเป็นพันธมิตรของปากีสถาน คู่ปฏิปักษ์ของอินเดียมาช้านาน มีแนวโน้มจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อมิตรภาพภายใน BRICS
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์บางส่วนกังขาว่า การขยายบทบาทของ BRICS เปรียบเสมือนการขยายอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของจีน และการค้าภายในชาติสมาชิกนับตั้งแต่วันก่อตั้งจนถึงปัจจุบันยังคงอยู่ในลักษณะที่จีนเป็นฝ่ายได้เปรียบมากที่สุด