สถานการณ์ค่าเงินหยวนที่อ่อนลงถึง 7 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ขณะที่ทั้งโฆษกทำเนียบขาว และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ก็ต่างมุ่งประเด็นไปที่การแทรกแซงค่าเงินหยวนของรัฐบาลจีน เพื่อสร้างความได้เปรียบ และตอบโต้สหรัฐหลังจากที่ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้า 10% มูลค่ากว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
บลูมเบิร์ก รายงานในวันนี้ (7 ส.ค.) ธนาคารกลางจีนระบุว่า การอ่อนค่าของเงินหยวนเป็นไปตามสถานการณ์ภายในประเทศ และจีนไม่เคยใช้การอ่อนค่าของเงินหยวนมาเป็น “เครื่องมือ” ในการตอบโต้สหรัฐ ในความขัดแย้งทางการค้า ตามที่ถูกกล่าวอ้างมาตลอด ซึ่งนายสตีเฟน มนูชิน รัฐมนตรีการคลังของสหรัฐ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยยกระดับให้จีนกลับมาอยู่ใน “บัญชีดำ” ซึ่งหมายถึงประเทศที่มีการแทรกแซงค่าเงินอีกครั้ง ในรอบ 25 ปี
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีทรัมป์ ทวีตข้อความในทวีตเตอร์ ระบุว่า “จีนมีประวัติแทรกแซงทำให้เงินหยวนอ่อนค่ากว่าความเป็นจริงมานานแล้ว และสหรัฐจะร่วมมือกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ในการขจัดความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากพฤติกรรมของจีน”
ขณะที่ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางจีน ระบุด้วยว่าจะพยายามรักษาเสถียรภาพของค่าเงินให้ดีขึ้น โดยเปิดเผยว่า ทางการจีนกำลังพิจารณามาตรการบางอย่างเพื่อช่วยอุ้มค่าเงินหยวนไม่ให้อ่อนค่าไปมากกว่านี้
ทางด้านนักวิเคราะห์อย่าง “ทอมมี เซีย” นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโอเวอร์ชีส์-ไชนีสแบงกิ้ง กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ว่าจีนจะประกาศความคืบหน้าในวันพรุ่งนี้ (8 ส.ค.) อย่างเร็วที่สุด หรือภายในสัปดาห์นี้
ก่อนหน้านี้ “ซีเอ็นเอ็น” รายงานว่า นายแจน แฮตซิอุซ หัวหน้านักวิเคราะห์ของ โกลด์แมน แซคส์ วาธณิชธนกิจชั้นนำของโลก ระบุไว้ว่า ความรุนแรงของสงครามการค้าสหรัฐ-จีน กำลังยกระดับความอันตรายมากขึ้น และคาดว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อไปจนถึงปีหน้า เพราะทั้งสองต่างตอบโต้กันอย่างสาหัสอีกครั้ง ขณะที่ทางการจีน ได้สั่งระงับการซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐทั้งหมด หลังจากที่เคยชื่นมื่นเมื่อครั้งที่หารือกันนอกรอบเวที G20 ที่นครโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น
โดยผู้นำทรัมป์ ได้กล่าวด้วยว่า รัฐบาลจีนตั้งใจถ่วงเวลาการเจรจาการค้า จนกว่าจะถึงกำหนดวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในปี 2020 โดยบทความวิเคราะห์มากมายว่า คะแนนเสียงนิยมในตัวนายทรัมป์จะลดลงเรื่อยๆ หากประชาชนที่ได้รับผลกระทบเดือดร้อนมากขึ้นเป็นเวลานาน และทรัมป์ อาจจะไม่ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี ในสมัยที่ 2 ตามที่คาดหมายไว้