คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจโลก
โดย นงนุช สิงหเดชะ
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
หลังจากดึงดันไม่ฟังใครไปหยก ๆ ด้วยการประกาศจะเก็บภาษีสินค้าจีนที่เหลืออีกมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ในอัตรา 10% มีผลในวันที่ 1 กันยายน โดยอ้างว่าจีนชักช้าในการทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐ แต่ไม่ถึง 2 สัปดาห์ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องเป็นฝ่ายยอมถอยเสียเอง ด้วยการประกาศเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ว่า จะเลื่อนการเก็บภาษีออกไปเป็นวันที่ 15 ธันวาคม สำหรับสินค้าบริโภคบางอย่าง ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ วิดีโอเกม คอนโซล เสื้อผ้า รองเท้าและของเล่น โดยระบุว่า เพื่อไม่ให้กระทบต่อการจับจ่ายของชาวอเมริกันในช่วงคริสต์มาส
รายการสินค้าที่ถูกเลื่อนการเก็บภาษีดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างโทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้าบางอย่าง วิดีโอเกม เป็นสินค้าสำคัญและจำเป็นสำหรับตลาดผู้บริโภคอเมริกัน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลจับจ่ายอย่างคริสต์มาส การขึ้นภาษีหมายถึงคนอเมริกันต้องซื้อสินค้าเหล่านี้ในราคาแพงขึ้นอันจะกระทบต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากภาคการบริโภคมีสัดส่วนในจีดีพีของสหรัฐมากที่สุด
สื่ออเมริกันพาดหัวข่าวในประเด็นนี้ว่า “ทรัมป์เพิ่งกะพริบตาไปหยก ๆ” ความหมายก็คือเป็นฝ่ายยอมถอยก่อน ซึ่งตลอดเวลาที่สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐปะทุขึ้นและยืดเยื้อไม่มีใครยอมใคร ทำให้มีการจับตามองว่า ใครจะเป็นฝ่ายกะพริบตาก่อน ซึ่งการกะพริบตาครั้งนี้บรรดานักลงทุนและนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีตฯ ระบุว่าเป็นสัญญาณบอกว่าสงครามการค้ากำลังทำร้ายผู้บริโภคชาวอเมริกัน แม้ว่าทำเนียบขาวจะอ้างตลอดมาว่าการเก็บภาษีจะทำให้จีนเป็นฝ่ายได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าก็ตาม
ภาคเอกชน นักวิเคราะห์ นักเศรษฐศาสตร์ได้ส่งเสียงเตือนมาตลอดว่า การขึ้นภาษีจากจีน จะสร้างภาระให้กับผู้บริโภคอเมริกันเป็นหลัก ส่วนผู้ส่งออกจีนไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย แต่ถึงกระนั้นทรัมป์และทำเนียบขาวมักจะอ้างเสมอว่าอเมริกามีความสุขที่สามารถเก็บเงินภาษีจากจีนได้มากขึ้นทุกเดือนและอเมริกาไม่เดือดร้อนอะไร
จิม เชนอส นักลงทุนในวอลล์สตรีตฯ ระบุว่า การเลื่อนเก็บภาษีบ่งบอกว่าอเมริกาสามารถทนความเจ็บปวดได้แค่ไหน และจีนอาจใช้เรื่องนี้มาเป็นแต้มต่อในการเจรจาการค้า เพราะเห็นแล้วว่าตอนนี้อเมริกาตกอยู่ในความกดดัน ส่วน ไคล์ บาสส์ ผู้จัดการกองทุนเฮย์แมน แคปิตอล ระบุว่า ดูเหมือนประธานาธิบดีทรัมป์เป็นฝ่ายกะพริบตาก่อน ในขณะที่ทรัมป์มักจะพูดจาแข็งกร้าวในศึกภาษีกับจีน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ตลาดหุ้นร่วงลง ประธานาธิบดีก็จะถอยเสมอ อีกทั้งดูเหมือนว่าทรัมป์ไม่อยากให้ราคาไอโฟนพุ่งขึ้นไปในช่วงคริสต์มาส “จีนจะมองว่านี่คือจุดอ่อนสำคัญ”
ทอม โดโนฮิว ประธานบริหารหอการค้าอเมริกัน ให้ความเห็นว่า การเลื่อนเก็บภาษี ก็เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงก่อนการเลือกตั้งที่จะมาถึงในปลายปีหน้า “คงไม่มีใครอยากลงเลือกตั้งประธานาธิบดีท่ามกลางเศรษฐกิจถดถอย ผมคิดว่าทำเนียบขาวตระหนักแล้วว่าความเป็นจริงสำหรับพวกเขาคืออะไร”
แมกซ์ เบาคัส อดีตเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำประเทศจีน ชี้ว่า ในสงครามการค้าครั้งนี้จีนอาจจะสามารถทนความเจ็บปวดและความลำบากได้มากกว่าอเมริกา เพราะคนจีนแข็งแกร่งและให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งมากกว่าชาติอื่น ขณะที่ นากะ มัตซึซาวะ หัวหน้านักกลยุทธ์แห่งโนมูระ วิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า จีนอาจเต็มใจที่จะใช้มาตรการตอบโต้ที่มีเดิมพันสูงเพื่อสกัดไม่ให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้งอีกครั้ง แม้ว่ามาตรการนั้นจะสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจจีนก็ตาม เพื่อแลกกับการที่อาจจะได้ประธานาธิบดีคนใหม่ที่มาจากพรรคเดโมแครต ที่จะทำให้การเจรจาการค้าง่ายขึ้น
สำหรับทรัมป์เอง ดูเหมือนจะทราบเช่นกันว่าจีนจะนั่งตีขิมรอไปจนกว่าจะถึงการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐครั้งใหม่ ซึ่งทรัมป์อาจไม่ชนะเลือกตั้ง ดังนั้น ไม่กี่วันก่อนทรัมป์จึงได้ทวีตข้อความไปยังฐานเสียงว่า จีนต้องการรอไปเรื่อย ๆ ด้วยหวังว่าคนจากเดโมแครตจะชนะเลือกตั้ง และจะทำให้จีนได้รับข้อตกลงที่ดี
เจตนาของทรัมป์ก็คือโจมตีพรรคเดโมแครตทางอ้อม ในลักษณะที่ว่าถ้าเลือกเดโมแครต ก็อาจมีการอ่อนข้อให้กับจีน ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่ยังจะยินดีเลือกทรัมป์หรือไม่ หลังจากสร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจและตลาดโลกอย่างมาก