ต่างประเทศ

จีนดัน “เซินเจิ้น” ขึ้นแท่นศูนย์กลางการเงินใหม่แทนที่ “ฮ่องกง”

( WANG Zhao / AFP)
สำนักข่าวพีเพิลส์เดลี่ของรัฐบาลจีนระบุว่า ทางการจีนประกาศแผนการที่จะพัฒนาเมือง “เซินเจิ้น” เป็นพื้นที่นำร่องตามแนวทางสังคมนิยมแบบจีน เพื่อเป็น “ศูนย์กลางทางการเงินนานาชาติแห่งใหม่” แทนที่ “ฮ่องกง” ที่กำลังเกิดการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่อยู่ในเวลานี้

ตามเอกสารแถลงการณ์ระบุว่า แผนการที่จะพัฒนาเซินเจิ้นนั้นเป็นการพยายามปรับปรุงยุทธศาสตร์พัฒนาเขตเศรษฐกิจ “อ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า” (Guangdong – Hong Kong – Macao Greater Bay Area – GBA) และการเสริมสร้างแนวทาง “หนึ่งประเทศสองระบบ” โดยตั้งเป้าหมายให้เซินเจิ้นกลายเป็น “กลไกหลัก” ของเขตเศรษฐกิจดังกล่าว

ทั้งนี้ พื้นที่อ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊าเป็นพื้นที่เศรฐกิจขนาดใหญ่ของจีน มีจำนวนประชากร 71.61 ล้านคน ซึ่งมีจีดีพีรวมกันในปี 2018 อยู่ที่ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงเป็นอันดับสามรองจากพื้นที่อ่าวโตเกียวและเขตนครนิวยอร์ก ตามรายงานของสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง

“เทียน เฟยหลง” ผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการฮ่องกงที่มหาวิทยาลัยเป่ยหังในกรุงปักกิ่งระบุว่า การประกาศแผนการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกลางของจีนตัดสินใจว่า เซินเจิ้นควรจะเป็น “กุญแจหลักในการขับเคลื่อน” ยุทธศาสตร์ของพื้นที่เศรษฐกิจเขตอ่าวดังกล่าว เนื่องจากการประท้วงที่กินระยะเวลายาวนานกว่า 2 เดือนในฮ่องกงส่งผลกระทบต่อบริการสาธารณะและการดำเนินธุรกิจอย่างหนัก

ทั้งนี้ เมืองเซินเจิ้นเคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้ฮ่องกง ซึ่งภายหลังจากที่รัฐบาลจีนได้ดำเนินนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศในระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เศรษฐกิจของเซินเจิ้นเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเซินเจิ้นมีอัตราการเติบโตของจีดีพีอยู่ที่ 7.5% แซงหน้าฮ่องกงที่เติบโต 3% ในปี 2018

ขณะที่สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทางการจีนตั้งเป้าว่าภายในปี 2025 เซินเจิ้นจะเป็นหนึ่งในเมืองชั้นนำของโลกในด้านความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ มีการสร้างผลงานวิจัยและการพัฒนา มีกำลังการผลิตอุตสาหกรรมเชิงนวัตกรรม และมีบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีสภาพแวดล้อมของระบบนิเวศในระดับต้น ๆ ของโลก

นอกจากนี้ภายในปี 2035 เซินเจิ้นจะเป็นเมืองต้นแบบที่มีการพัฒนาขั้นสูงให้กับเมืองอื่น ๆ ของจีน ขณะเดียวกันก็เป็นศูนย์กลางของนวัตกรรม ภาคธุรกิจ และความคิดสร้างสรรค์ที่มีอิทธิในระดับนานาชาติ