บีบีซี รายงานว่า สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศอังกฤษ กำลังรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เมื่อวานนี้ (3 ก.ย.) นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษ ประกาศยืนยันว่า ต้องการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 ต.ค.ปีนี้ หลังจากที่สมาชิกรัฐสภาลงมติด้วยคะแนนเสียง 328 ต่อ 301 เสียง คัดค้านร่างแผนการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู) แบบไร้ข้อตกลง ที่น่าสนใจ ก็คือ ในจำนวนเสียงโหวตดังกล่าวมี ส.ส.จากพรรคคอนเซอร์เวทีฟของรัฐบาล 21 ราย
ทั้งนี้ ในวันที่ 14 ต.ค. จะตรงกับวันเปิดการประชุมประจำปีของรัฐสภาสมัยใหม่ หลังจากที่อังกฤษได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งวันเปิดการประชุมจะมีขึ้นก่อนหน้าเพียง 2 สัปดาห์ ก่อนที่จะถึงวันครบกำหนดการเบร็กซิต ในวันที่ 31 ต.ค.นี้ โดยนายกฯ จอห์นสัน กล่าวว่า จะยื่นญัตติต่อรัฐสภาเพื่อขอให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันดังกล่าว ก่อนที่จะมีการประชุมซัมมิตกับอียู ครั้งสำคัญในวันที่ 17-18 ธ.ค.นี้ ว่าด้วยการหารือเกี่ยวกับข้อตกลงต่างๆ ที่ยังไม่สามารถบรรลุได้ เช่น พรมแดนไอร์แลนด์ (ตามกำหนดการเดิม)
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
รายงานระบุว่า ในวันพรุ่งนี้ (5 ก.ย.) สมาชิกรัฐสภาจะทำการอภิปรายร่างกฎหมายป้องกันการแยกตัวของอังกฤษออกจากอียู โดยไม่มีข้อตกลงใดๆ และหากร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากสภาอย่างเป็นทางการ นั่นหมายความว่า นายกฯ จอห์นสัน จะต้องเดินทางเพื่อเข้าพบสมาชิกผู้แทนของอียู เพื่อร้องขอให้เลื่อนกำหนดเส้นตายการเบร็กซิตออกจากกำหนดการเดิม ไปเป็นวันที่ 31 ม.ค.ปี 2020 ซึ่งผู้นำอังกฤษจะต้องบรรลุข้อตกลงบางอย่างที่เป็นรูปธรรมกับอียู และเสนอข้อตกลงฉบับใหม่เข้าสู่สภาอังกฤษ ภายในวันที่ 19 ต.ค.นี้
นักวิเคราะห์ของบีบีซี ประเมินว่า ทางเลือกระหว่างการเจรจาขอเลื่อนเบร็กซิต กับมีญัตติให้จัดเลือกตั้งใหม่ สมาชิกรัฐสภาอังกฤษน่าจะสนับสนุนให้ขยายเวลาการแยกตัวออกจากอียูมากกว่า นอกจากนี้ ญัตติสนับสนุนแผนการเลือกตั้งของนายจอห์นสัน มีโอกาสที่จะถูกคว่ำสูงมาก เนื่องจากจำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากส.ส.ถึง 2 ใน 3 ซึ่งการแปรพักตร์ของสมาชิกพรรครัฐบาลเพื่อโหวตคัดค้านแผน “โนดีลเบร็ทซิต” สะท้อนให้เห็นความแตกแยกของคนในพรรคมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้ “เงินปอนด์” อ่อนค่าลงแตะระดับที่ 1.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อปอนด์ ต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมืองในอังกฤษที่มีความไม่แน่นอนเป็นเวลานาน
