ส่อง “สตาร์ตอัพ AI” จีน ถูกสหรัฐ “แบล็กลิสต์” ปมอุยกูร์

(Photo by NICOLAS ASFOURI / AFP)

“จีน” เป็นประเทศยักษ์ใหญ่ที่ตั้งเป้าเป็นชาติผู้นำด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ “เอไอ” ภายในปี 2030 ไม่ต่างจากชาติมหาอำนาจอื่นที่ต่างมองว่านวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าจะช่วยให้สามารถพัฒนาประเทศแซงหน้าชาติอื่นได้ ทำให้รัฐบาลจีนมุ่งส่งเสริมสตาร์ตอัพเทคโนโลยีเกิดใหม่อย่างมาก ท่ามกลางคำถามด้านความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลจากการใช้งานเทคโนโลยีของจีน

โดยหลังจากที่สหรัฐประกาศขึ้นบัญชีดำ “บริษัทและหน่วยงาน 28 แห่งของจีน” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยห้ามไม่ให้ซื้อหรือนำเข้าเทคโนโลยีที่ผลิตในสหรัฐ ด้วยเหตุผลว่า บริษัทและหน่วยงานเหล่านี้มีส่วนในการสร้างเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้อย่างละเมิดสิทธิมนุษยชน ด้วยการสอดส่องความเคลื่อนไหว และจับกุมชนกลุ่มน้อยในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ของจีน

“ซีเอ็นเอ็น” รายงานถึงสถานการณ์การเติบโตของสตาร์ตอัพเอไอของจีนว่า ที่ผ่านมารัฐบาลจีนส่งเสริมสตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีเอไอเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวกในการวิจัยและพัฒนาทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งของต่างชาติและของจีน โดยมีบริษัทสตาร์ตอัพเอไอ ที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไปอยู่ในจีนถึง 6 จาก 11 บริษัททั่วโลก

“เซนส์ไทม์” (SenseTime) เป็นหนึ่งในสตาร์ตอัพที่ถูกแบนโดยสหรัฐ ซึ่งเป็นสตาร์ตอัพด้านเอไอที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของจีน ด้วยเม็ดเงินลงทุนจากบริษัทขนาดใหญ่ทั้ง “ซอฟต์แบงก์” บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น และ “อาลีบาบา” อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน โดยปัจจุบันเซนส์ไทม์มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 7,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยเซนส์ไทม์เป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าจากข้อมูลทั้งกล้องในโทรศัพท์เคลื่อนที่แบรนด์จีน และจากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ในจีน รวมไปถึงยังมีการพัฒนา “อ็อกเมนเต็ดเรียลิตี้” (augmented reality) หรือเทคโนโลยีที่ผสมผสานความเป็นจริงเสมือนในแอปพลิเคชั่นยอดนิยมอย่าง “สแนปแชต” ด้วย

ขณะที่ “แมกวี” (Megvii) บริษัทสตาร์ตอัพจีนอีกแห่งที่ปรากฏชื่อในบัญชีดำ ก็เป็นผู้พัฒนาระบบจดจำและวิเคราะห์ใบหน้าอย่าง “เฟซพลัสพลัส” (Face++) ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายในจีน ปัจจุบันแมกวีมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ราว 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ “อีถู” (YITU) ผู้พัฒนาเอไอจดจำใบหน้าอีกแห่งในแบล็กลิสต์ของสหรัฐ ซึ่งใช้สำหรับภาคธุรกิจบริการทางการเงินและภาครัฐอีกราย ก็มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลของซีบีอินไซต์ส (CB Insights) บริษัทวิจัยสตาร์ตอัพของสหรัฐ

นอกจากนี้ ยังมี “ฮิกวิชั่น” (Hikvision)ผู้ผลิตกล้องวงจรปิดด้วยระบบเอไอ และ “ไอฟลายเท็ก” (iFlyTek) ผู้พัฒนาระบบรับรู้ด้วยเสียงที่ถูกขึ้นบัญชีดำโดยสหรัฐด้วย

บริษัทเหล่านี้เป็นภาพสะท้อนการเติบโตของสตาร์ตอัพเทคโนโลยีเอไอของจีนที่ขยายตัวอย่างมาก สาเหตุหลักมาจากการที่จีนส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเอไอในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการบุคคลทั่วไป การจัดการโลจิสติกส์ การตรวจสอบปรับปรุงคุณภาพโรงงาน การปรับการใช้พลังงานให้เหมาะสม ไปจนถึงการวิเคราะห์เวชระเบียนผู้ป่วยในโรงพยาบาล

รายงานระบุว่า อุตสาหกรรมเอไอของจีน มีศักยภาพสูงจากหลายปัจจัย ทั้งแรงงานรุ่นใหม่ที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีจำนวนมาก นโยบายสนับสนุนของรัฐบาลจีนที่มีความชัดเจนและต่อเนื่อง รวมทั้งจำนวนชาวจีนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตราว 850 ล้านคน ขณะที่ภาคธุรกิจจีนก็มีการปรับตัวอย่างมากเช่นกัน ยักษ์เทคโนโลยีจีนหลายราย อย่าง “ไป่ตู้” (Baidu) และ “เทนเซ็นต์” (Tencent) ได้มีการจัดตั้งศูนย์วิจัยในสหรัฐเพื่อพัฒนาเอไอของตน

ความเคลื่อนไหวของสหรัฐครั้งนี้ จึงมองว่าเป็นการพุ่งเป้าไปที่เทคโนโลยีของจีนโดยเฉพาะ แม้จะกล่าวอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชนในซินเจียงก็ตาม อย่างไรก็ตาม “พอล ทริโอโล” ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายเทคโนโลยีระดับโลกของ “ยูเรเซียกรุ๊ป” ระบุว่า “สหรัฐและจีนกำลังต่อสู้กันเพื่อครอบครองเทคโนโลยีแห่งอนาคตในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี”

ผลจากการแบนของสหรัฐครั้งนี้ อาจทำให้การเติบโตของสตาร์ตอัพจีนชะลอตัวลงเพราะยังต้องพึ่งพาซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิปของสหรัฐ แต่หลายบริษัทของจีน เปิดเผยว่ามีแผนรับมือแล้ว เช่น “แมกวี” เผยว่าบริษัทกำลังลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์อเมริกัน และหันมาซื้อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในจีนมากขึ้น ทั้งระบุว่า ซัพพลายเออร์ที่แมกวีซื้อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ใน 5 อันดับแรกตั้งอยู่ในจีน สหรัฐเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการผลิตสินค้าเท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญของยูเรเซีย ระบุด้วยว่า ทุกบริษัทจีนมีแนวโน้มที่จะสำรองชิ้นส่วนชิปสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พร้อมทั้งหาซัพพลายเออร์ และผู้ให้บริการเทคโนโลยีรายใหม่แต่การตัดสินใจของสหรัฐครั้งนี้อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีจีนไม่สามารถหาตัวเลือกใหม่ที่มีคุณภาพเทียบเท่าเทคโนโลยีจากสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการคุกคามอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีนในระยะยาวได้เช่นกัน