“ฮูรุน” (Hurun) สถาบันวิจัยของจีน เปิดรายงาน “โกลบอลยูนิคอร์น 2019” เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า “จีน” แซงหน้าสหรัฐอเมริกา ในฐานะประเทศที่มีสตาร์ตอัพยูนิคอร์นมากที่สุดในโลก มีทั้งหมด 206 บริษัท ขณะที่สหรัฐมี 203 แห่ง เป็นอันดับ 2 ตามด้วย อินเดีย สหราชอาณาจักร (ยูเค) ส่วนอันดับ 5 มีสองประเทศ ได้แก่ เยอรมนี กับอิสราเอล
ในปี 2019 บริษัทยูนิคอร์นที่มีมูลค่าธุรกิจมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีทั้งหมด 494 แห่ง จาก 24 ประเทศ ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2019 มูลค่าธุรกิจของสตาร์ตอัพยูนิคอร์นรวมกันอยู่ที่ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มจาก 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- ตรวจหวย ใบตรวจหวย ผลรางวัล สลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน 2567
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
ที่น่าสนใจคือ 3 อันดับแรกของสตาร์ตอัพยูนิคอร์นที่มีมูลค่าธุรกิจสูงสุดในรายงานฉบับนี้ เป็นบริษัทสัญชาติจีนทั้งหมด ได้แก่ 1.Ant Financial บริษัทในเครือของอาลีบาบา กรุ๊ป มีมูลค่าธุรกิจสูงถึง 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ 2.Bytedance บริษัทแม่ของ TikTok แอปพลิเคชั่นบริการเครือข่ายสังคม มูลค่าอยู่ที่ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 3.ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มไรด์-แชริ่ง Didi มูลค่าธุรกิจอยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่สตาร์ตอัพยูนิคอร์นของสหรัฐที่มีมูลค่าสูงสุด ได้แก่ Infor บริษัทซอฟต์แวร์ในนครนิวยอร์ก ตามมาเป็นอันดับ 4 มีมูลค่ากิจการ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และอันดับ 5 บริษัท Juul Labs ผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน
นายรูเพิร์ต ฮิวจ์เวิร์ฟ ประธานฮูรุนรีพอร์ต กล่าวว่า จีนและสหรัฐเป็น 2 ประเทศที่มีสตาร์ตอัพยูนิคอร์นรวมกันมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึง 83% ของสตาร์ตอัพยูนิคอร์นทั้งโลก โดยรัฐบาลจีนได้ทุ่มงบประมาณสำหรับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการสร้างบริษัทยูนิคอร์นอย่างน่าสนใจ โดยช่วง 10 ปีที่ผ่านมา งบฯพัฒนาชาติที่กำหนดไว้สำหรับธุรกิจสตาร์ตอัพมีมากขึ้น เกือบ 50% ของงบฯพัฒนาชาติทั้งหมด
รายงานระบุด้วยว่า ที่ผ่านมาจีนพยายามขยายการสร้างสภาพแวดล้อม หรือ ecosystem ที่เอื้อต่อธุรกิจสตาร์ตอัพในหลาย ๆ เมือง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 8 เมืองไฮไลต์ที่ผลิตสตาร์ตอัพสัญชาติจีนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ หางโจว เสิ่นเจิ้น หนานจิง กว่างโจว เฉิงตู และฮ่องกง เทียบกับอีกหลาย ประเทศ รัฐบาลจะสร้างสภาพแวดล้อมเพียง 1-2 เมืองสำหรับการผลิตสตาร์ตอัพ อย่างสหรัฐที่มี “ซิลิคอนวัลเลย์” ในซานฟรานซิสโก และแหล่งบ่มเพาะสตาร์ตอัพในนครนิวยอร์ก
รายงานยังกล่าวถึงบริษัทสตาร์ตอัพยูนิคอร์นในประเทศอื่นว่า มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน อย่างเช่น “อินเดีย” ซึ่งอยู่เป็นอันดับ 3 มีสตาร์ตอัพทั้งหมด 21 บริษัท โดยบริษัทที่น่าจับตามอง คือ One97 Communications แพลตฟอร์มการชำระเงินที่มีมูลค่าธุรกิจ 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ยังมี Ola Cabs ผู้ให้บริการไรด์-แชริ่ง และ OYO Rooms ผู้ให้บริการบุ๊กกิ้งโรงแรมราคาประหยัด
ขณะเดียวกัน “GO-JEK” สตาร์ตอัพผู้ให้บริการเรียกรถแท็กซี่เบอร์หนึ่งของอินโดนีเซีย ก็ถูกจัดอันดับว่าเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตเร็ว โดยมีมูลค่าธุรกิจอยู่ที่ 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามด้วย “Tokopedia” อีคอมเมิร์ซรายใหญ่สุดในประเทศ มีมูลค่ากิจการที่ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ หากดูเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) 15 อันดับแรก มี 3 ประเทศที่ติดอันดับ ได้แก่ อินโดนีเซีย ที่อยู่อันดับ 8, สิงคโปร์ อยู่อันดับ 12 และอันดับ 15 ได้แก่ ฟิลิปปินส์
นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวระบุด้วยว่า “อังกฤษ” มีสตาร์ตอัพยูนิคอร์นมากกว่า “เยอรมนีและฝรั่งเศส” ซึ่งเป็นประเทศตัวเต็งที่มองว่า จะขึ้นเป็น “ศูนย์กลางทางการเงินของโลก” แทนที่ลอนดอน หลังจากกำหนดการเบร็กซิต หรือการถอนสมาชิกจากสหภาพยุโรป (อียู) มีผลบังคับใช้
โดยประธานของฮูรุนกล่าวเพียงว่า ผลกระทบจากการเบร็กซิตที่จะตามมาต่อเศรษฐกิจของอังกฤษ มีส่วนทำให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อปั้นสตาร์ตอัพยูนิคอร์นให้มากขึ้น
ทั้งนี้ สำหรับท็อป 5 อุตสาหกรรมที่เหล่าสตาร์ตอัพยูนิคอร์นให้ความสนใจและลงทุนมากที่สุด ได้แก่ อีคอมเมิร์ซ (68 บริษัท), ฟินเทค (56 บริษัท), ระบบคลาวด์ (44 บริษัท), ปัญญาประดิษฐ์ (40 บริษัท) และธุรกิจโลจิสติกส์ (34 บริษัท)