ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ หากแต่เป็นไปตามความคาดหมายอย่างกว้างขวางของตลาด สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมติของเสียงส่วนใหญ่เห็นควรลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 1.5 ถึง 1.75% มีเพียงสองเสียงที่เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยเท่าเดิม ทั้งนี้ เฟดให้เหตุผลการลดดอกเบี้ยว่า ถึงแม้เศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงแข็งแกร่ง นำโดย
การใช้จ่ายของผู้บริโภคและตลาดแรงงาน แต่ทว่ายังถูกคุกคามจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ รวมทั้งความไม่แน่นอนของอังกฤษในการออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป หรือเบร็กซิต
- เคาะแล้ว ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท 10 พื้นที่ ธุรกิจโรงแรม 4 ดาวขึ้นไป
- รีบเลย ! เปิดจองสิทธิ กระปุกออมสิน วาระครบรอบ 111 ปี 27-31 มี.ค.นี้
- กรรมการค่าจ้างขึ้นค่าแรง 400 บาทโรงแรม 4 ดาว นำร่อง 10 จังหวัด
การตัดสินใจของเฟดในการปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งนับเป็นรอบที่ 3 ของปีนี้ เกิดขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า เศรษฐกิจไตรมาส 3 ขยายตัว 1.9% ใกล้เคียงกับคาดหมายของทางการที่ระดับ 2% แต่สูงกว่าคาดการณ์ของตลาดที่เชื่อว่าจะเติบโตเพียง 1.6% แต่ต่ำกว่าความต้องการส่วนตัวของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ต้องการให้เติบโต 3%
ขณะที่การจ้างงานในช่วงไม่กี่เดือนมานี้แม้จะชะลอลงเล็กน้อย แต่ยังสูงกว่า 109,000 รายต่อเดือน ทำให้อัตราการว่างงานเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5% ต่ำสุดในรอบ 50 ปี ซึ่งกรรมการเสียงส่วนใหญ่เห็นควรรักษาอัตราการว่างงานไว้ที่ระดับนี้ จึงเป็นเหตุผลหนึ่งในการลดดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดส่งสัญญาณว่า หลังจากนี้อาจหยุดการหั่นดอกเบี้ยเอาไว้ก่อน เห็นได้จากถ้อยแถลงที่ระบุว่า เชื่อว่านโยบายการเงินในขณะนี้ดีอยู่แล้ว การที่เราลดดอกเบี้ยครั้งนี้ก็เพื่อรักษาเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอเพื่อเป็นการรับประกันว่าท่ามกลางความเสี่ยงของปัจจัยภายนอกที่ดำเนินอยู่ เศรษฐกิจของสหรัฐจะยังเติบโตได้ ดังนั้น นโยบายการเงินที่เราใช้อยู่จึงมีความเหมาะสมแล้ว ตราบเท่าที่ข้อมูลเศรษฐกิจที่เข้ามายังสอดคล้องกับมุมมองของเรา
นอกจากนี้ เฟดยังแสดงท่าทีว่าจะดำเนินการผ่อนคลายทางการเงินต่อไปจนถึงไตรมาส 2 ปีหน้าเป็นอย่างน้อย แต่ยืนยันว่าไม่ใช่การกลับมาใช้มาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณ หรือ QE แต่อย่างใด หากแต่เพื่อรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยของเฟดให้อยู่ในเป้าหมาย โดยเฟดได้กลับมาซื้อพันธบัตรอีกครั้ง ทำให้เดือนกันยายน งบดุลของเฟดขยายตัว 1 แสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ระดับงบดุลของเฟดกลับมาอยู่เหนือ
4 ล้านล้านดอลลาร์
ในส่วนของปัญหาการค้าที่ยืดเยื้อมา 16 เดือน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ประธานเฟดแสดงความหวังว่า สหรัฐและจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าระยะแรกได้ และเน้นย้ำว่าหากสามารถลดความตึงเครียดทางการค้าและลดความไม่แน่นอนต่าง ๆ ได้อย่างยั่งยืน จะส่งผลดีต่อความมั่นใจของภาคธุรกิจและกิจกรรมเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในคณะบริหารของรัฐบาลทรัมป์ระบุว่า สหรัฐและจีนอาจไม่สามารถเซ็นข้อตกลงการค้าระยะแรกได้ทันเวลาในการประชุมเอเปกที่ประเทศชิลีเดือนนี้ เนื่องจากสหรัฐเรียกร้องให้จีนแสดงคำมั่นในการซื้อสินค้าเกษตรสหรัฐมากขึ้น ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่ทำให้การเจรจาติดขัด
ตลาดหุ้นสหรัฐตอบสนองในทางบวก โดยดัชนีดาวโจนส์ขยับขึ้น 115.27 จุด หรือ 0.4% ปิดที่ 27,186.69 จุด ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติสูงสุดใหม่ ปิดตลาดที่ 3,046.77 จุด เพิ่มขึ้น 0.3% โดยก่อนหน้าที่เฟดจะมีมติออกมา ตลาดซึมซับข้อมูลว่ามีความเป็นไปได้ 93.5-100% ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ขณะที่การประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 10-11 ธันวาคม ตลาดเชื่อว่ามีความเป็นไปได้เพียง 25% ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย
ดรู เมทัส หัวหน้านักกลยุทธ์การตลาด เม็ตไลฟ์ อินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนต์ ให้ความเห็นไว้ก่อนหน้านี้ว่า หากเฟดจะลดดอกเบี้ยในรอบนี้ไม่ใช่เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจบังคับให้ลด แต่เพราะต้องการให้สอดคล้องกับการรับรู้ของตลาด เฟดต้องการทำให้ตลาดและนักลงทุนอยู่ในความสงบและมีความสุขไปจนถึงสิ้นปี