รอยเตอร์ส รายงานวันนี้ (14 พ.ย.62) ระบุว่า “ยาฮู แจเปน” บริษัทอินเทอร์เน็ตชั้นนำของญี่ปุ่นในเครือของ “ซอฟต์แบงก์” ยืนยันอาจจะควบรวมกิจการกับ “ไลน์ คอร์ป” คาดว่ามูลค่าดีลอยู่ที่ 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะดึงบริษัทผู้ให้บริการแชทชั้นนำเข้าสู่เครือของ “ซอฟต์แบงค์” ที่กำลังขยายกิจการสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซและการชำระเงินออนไลน์
“ยาฮู แจเปน” ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “ซี โฮลดิ้ง” (Z holding) เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา เปิดเผยว่า บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับทาง “ไลน์ คอร์ป” สำหรับการเข้าควบรวมกิจการแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจใดๆ อย่างเป็นทางการ ขณะที่ “ไลน์ คอร์ป” เองก็ได้ออกแถลงการณ์ตรงกัน ว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาการควบรวมกิจการ
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
รายงานระบุเพิ่มว่า มีแหล่งข่าวรายหนึ่ง เปิดเผยว่า การควบรวมกิจการจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนนี้ โดยทาง “ซอฟต์แบงก์” และ “เนเวอร์ คอร์เปอเรชั่น” ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ “ไลน์ คอร์ป” จะถือหุ้นร่วมกันสำหรับบริษัทที่กำลังก่อตั้งแห่งใหม่ในสัดส่วน 50-50 โดยบริษัทแห่งนี้จะเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ “ซี คอร์ป” ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแพลต์ฟอร์มทั้ง “ยาฮู” และ “ไลน์” อีกที
ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าจับตามองว่า “ดีล” ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้จะเป็นการควบรวมกิจการของสองบริษัทอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่นชำระเงินผ่าน “คิวอาร์ โค้ด” ชั้นนำของญี่ปุ่นซึ่งกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การเป็นสังคมไร้เงินสดมากขึ้น ทั้งนี้ ในปัจจุบันแอพลิเคชั่นชำระเงินอย่าง “เพย์พาล” ของทางซอฟต์แบงก์มีผู้ใช้งานราว 19 ล้านคน ขณะที่แอพลิเคชั่น “ไลน์ เพย์” มีผู้ใช้งานถึง 82 ล้านคน
นอกจากนี้ เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ทาง “ซี โฮลดิ้ง” เพิ่งประกาศซื้อหุ้นกว่า 50.1% ของบริษัทค้าปลีกสินค้าแฟชั่นออนไลน์อย่าง ZoZo มูลค่ารวม 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นความพยายามของ ซอฟต์แบงก์ ที่จะกระจายความเสี่ยงทางรายได้จากธุรกิจโทรคมนาคมซึ่งเป็นรายได้หลักของกิจการ
อย่างไรก็ตาม ความพยายามควบรวมกิจการของ “ซอฟต์แบงก์” เกิดขึ้นท่ามกลางผลดำเนินการที่ย่ำแย่ของบริษัท โดยมีสาเหตุมาจากการขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี โดยบริษัทได้ประกาศผลดำเนินงานขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี เมื่อไตรมาส 1/2019 เป็นผลมาจากการขาดทุนจากการลงทุนในสตาร์ทอัพผู้ให้บริการออฟฟิศแชร์ริ่งชื่อดัง อย่าง “วีเวิร์ก” (Wework)
