สำนักข่าวบีบีซีรายงานสถานการณ์การประท้วงในฮ่องกงที่ยืดเยื้อยาวนานมาถึง 5 เดือนในปัจจุบัน โดยล่าสุดบริษัทยักษ์ใหญ่สองแห่งที่มีสำนักงานใหญ่ในฮ่องกง คือ “เบอร์เบอรี” แบรนด์เสื้อผ้าหรูของอังกฤษและ “คาเธ่ย์แปซิฟิค” สายการบินใหญ่ของฮ่องกง ได้ออกมาเปิดเผยถึงผลกระทบทางการเงินจากการประท้วงที่รุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เบอร์เบอรีระบุว่า ยอดขายในฮ่องกงยังคงลดลงอย่างรวดเร็วต่อเนื่องและยังอยู่ภายใต้แรงกดดัน ทั้งนี้เบอร์เบอรีมีสาขาอยู่ในฮ่องกงถึง 10 แห่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ทำยอดขายราว 8% ของยอดขายทั่วโลก แต่ในไตรมาสล่าสุด ยอดขายในฮ่องกงลดลงเหลือเพียง 5% หรือลดลงในระดับเลขสองหลัก
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
“จูเลีย บราวน์” หัวหน้าฝ่ายการเงินของเบอร์เบอรี ระบุว่า การชุมนุมยังส่งผลให้จำเป็นต้องปิดสาขาบางแห่งเพื่อความปลอดภัยของพนักงาน แม้ว่าจะไม่ได้รับความเสียหายก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม ยอดขายทั่วโลกของเบอร์เบอรียังคงเติบโตขึ้น 5% ในช่วง 6 เดือนจาก มี.ค.-ก.ย. ปีนี้
ขณะที่ สายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิคระบุว่า ความวุ่นวายทางการเมืองส่งผลกระทบต่อความต้องการเดินทางและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ “แนวโน้มของการจองตั๋วล่วงหน้ายังคงอยู่ในระดับต่ำและไม่แน่นอน พร้อมกับจำนวนผู้โดยสารที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเที่ยวบินขาเข้าฮ่องกงจากจีนแผ่นดินใหญ่”
ทั้งนี้ คาเธ่ย์แปซิฟิคเปิดเผยว่า จำนวนผู้โดยสารขาเข้าลดลง 38% ในเดือน ส.ค. และ ก.ย. ขณะที่เดือน ต.ค. ลดลงถึง 35% ทำให้บริษัทตัดสินใจลดความสามารถในการแข่งขันลงเหลือเพียง 6% – 7% ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นอกจากนี้แล้ว บริษัทยังขอชะลอการส่งมอบเครื่องบิน Airbus SE จำนวน 4 ลำ จากกำหนดเดิมในปี 2020 เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารที่ลดลงอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ คาเธ่ย์แปซิฟิคเคยถูกกดดันให้ควบคุมพนักงานของสายการบินไม่ให้ “สนับสนุนหรือมีส่วนร่วมในการประท้วงที่ผิดกฎหมาย” ส่งผลให้ “รูเพิร์ต ฮอกก์” ซีอีโอต้องตัดสินใจลาออกเมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา หลังจากที่เกิดข้อพิพาทเรื่องการประท้วงภายในสายการบินและการกดดันจากทางการจีน
สำหรับสถานการณ์การประท้วงในฮ่องกงยังคงต่อเนื่อง โดยในวันนี้ (14 พ.ย.) โรงเรียนทุกแห่งในฮ่องกงประกาศยกเลิกการเรียนการสอน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่จากวันที่ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา