สถานการณ์ “สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน” ที่ยังไม่มีความแน่นอนอยู่ในเวลานี้ยังคงสร้างความหวาดวิตกไปทั่วโลก แม้ว่าความคืบหน้าล่าสุดจะมองเห็นแนวโน้มค่อนข้างดี หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเปิดเผยว่าใกล้บรรลุการเจรจา “ข้อตกลงการค้าเฟสแรก” เต็มทีแล้ว แต่สัญญาณลบจากฝั่ง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ของสหรัฐเองก็ยังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายฝ่ายต่างจับตาไปที่วันที่ 15 ธ.ค. นี้ ที่สหรัฐกำหนดจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีกครั้ง ว่าจะยังมีการดำเนินการตามกำหนดเดิมหรือไม่ และจะส่งผลอย่างไรต่อโฉมหน้าเศรษฐกิจโลก
ก่อนหน้านี้ สหรัฐได้ประกาศแผนขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 156,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 15% ในวันที่ 15 ธ.ค. ซึ่งจะกระทบต่อสินค้าประเภทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ อย่างโทรทัศน์ สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก รวมถึงสินค้าของเล่นและสินค้าอุปโภคบริโภคอีกหลายรายการ ซึ่งหากมีผลจริงตามคำขู่จะทำให้ภาษีศุลกากรที่สหรัฐเรียกเก็บจากจีนตลอดทั้งปีนี้คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามรายงานของรอยเตอร์ส
ส่วนจีนเองก็เคยประกาศว่า จะตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐในวันเดียวกัน ซึ่งหากมีการขึ้นภาษีจริงจะส่งผลให้สินค้านำเข้าจากสหรัฐที่จีนเรียกเก็บภาษีในปีนี้มีมูลค่ารวม 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอัตราระหว่าง 5%-10% โดยกระทบต่อสินค้าสหรัฐรวม 5,078 รายการ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดิบ ถั่วเหลือง เนื้อวัว เนื้อหมู อาหารทะเล ผัก ก๊าซธรรมชาติเหลว วิสกี้ และเอทานอล
แต่สภาพการณ์โดยรวมที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา จากความคืบหน้าของการเจรจาข้อตกลงการค้าเฟสแรกที่ทั้งสองฝ่ายระบุว่าใกล้บรรลุข้อตกลง ซึ่งจะนำไปสู่การลงนามระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนในเร็ว ๆ นี้ ทำให้หลายฝ่ายมองมีความหวังมากขึ้น แต่สถานการณ์ในช่วงต้นเดือน ธ.ค. ก็ผลักดันให้สงครามการค้ากลับไปสู่ความผันผวนอีกครั้ง จากท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ที่แสดงออกถึงความไม่แน่นอน
หากย้อนดูท่าทีของทรัมป์นับแต่การเจรจาการค้าเฟสแรกมีแนวโน้มใกล้บรรลุข้อตกลง ในวันที่ 21 พ.ย. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์เปิดเผยว่า “การลงนามการค้ากับจีนระยะแรก น่าจะเริ่มก่อนกำหนด ซึ่งอาจจะก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค หากรัฐบาลจีนยอมทำตามข้อเสนอของสหรัฐ”
สัญญาณดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ “รัฐบาลชิลี” ได้ประกาศถอนตัวจากการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปก เนื่องจากความวุ่นวายภายในประเทศ ซึ่งตามกำหนดเดิมผู้นำของสหรัฐและจีนจะลงนามข้อตกลงการค้าระหว่างการประชุมครั้งนี้ ต่อมาสหรัฐได้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมแทนในเดือน ม.ค. 2020 ทำให้หลายฝ่ายคาดว่า การลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกน่าจะเกิดขึ้นในเดือน ธ.ค. 2019 หรืออย่างช้าคือภายในต้นปี 2020
ต่อมาในวันที่ 26 พ.ย. ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ให้สัมภาณ์กับผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบขาวว่า สหรัฐใกล้บรรลุรายละเอียดข้อตกลงการเจรจาการค้าเฟสแรกกับจีน ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองดำเนินการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ “การเจรจาการค้ากำลังดำเนินไปด้วยดี โดยเรากำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการทำข้อตกลงที่มีความสำคัญอย่างมาก” ทรัมป์กล่าว แต่ยังคงย้ำชัดว่าจะเดินหน้าขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในวันที่ 15 ธ.ค. ต่อไป หากการเจรจาไม่มีความคืบหน้า
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดูเหมือนจะพลิกกลับอีกครั้ง จากการให้สัมภาณ์ต่อผู้สื่อข่าวของประธานาธิบดีทรัมป์ ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่า ยังไม่มีการกำหนดจุดสิ้นสุดสำหรับสงครามการค้าที่ยืดเยื้อมายาวนานถึง 16 เดือน อีกทั้งการลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกอาจยืดยาวออกไปถึงช่วงหลัง การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเดือนพฤศจิกายน 2020
“ในบางครั้งผมก็คิดว่าควรจะรอเจรจากับจีนหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่พวกเขาต้องการทำข้อตกลงในขณะนี้ และเราจะได้เห็นว่าข้อตกลงนั้นดีหรือไม่” ประธานาธิบดีสหรัฐกล่าวต่อผู้สื่อข่าว ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก โดยตลาดหุ้นดาวน์โจนร่วงต่ำสุดถึง 457.91 จุดหรือราว 1.7% หลังจากนั้น ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พีร่วงไป 500 จุดหรือมากกว่า 1.7% ส่วนดัชนีแนสแด็กก็มีการซื้อขายลดลงมากกว่า 1.6%
การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ของประธานาธิบดีทรัมป์เกิดขึ้นหลังจากที่ นายเกา เฟิง โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีนเน้นย้ำจุดยืนของฝ่ายจีนว่า ต้องการให้ทั้งสองฝ่ายปรับลดหรือยกเลิกภาษีศุลกากรบางส่วนในข้อตกลงการค้าเฟสแรก ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐที่ยังคงยืนยันจะเดินหน้ามาตรการภาษีต่อไป
แต่ต่อมาในวันที่ 4 ธ.ค. ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้งเกี่ยวกับประเด็นการขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในวันที่ 15 ธ.ค.ว่า “เรายังคงจับตาดูอย่างใกล้ชิดแต่ขณะนี้เรากำลังเดินหน้า เราไม่ได้หารือกันในเรื่องนี้เพราะมีเรื่องใหญ่กว่าที่ต้องหารือกัน สำหรับวันที่ 15 ธ.ค. อาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้น แต่เรายังไม่ได้หาพูดคุยกัน ขณะนี้การหารือระหว่างเรากับจีนกำลังเป็นไปด้วยดี”
นอกจากนี้ นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐยังเปิดเผยด้วยว่า คณะผู้เจรจาการค้าของทั้งสองฝ่ายยังคงทำงานกันอย่างแข็งขันในการหารือเพื่อบรรลุข้อตกลง โดยการเจรจายังอยู่ในระหว่างการดำเนินการที่คืบหน้า แต่สหรัฐไม่ได้ผูกมัดตนเองกับการกำหนดจุดสิ้นสุดที่ไม่ถาวร
สัญญาณที่ดีขึ้นยังส่งผลให้ตลาดหุ้นหลักของสหรัฐกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย แม้ว่านักลงทุนยังคงไม่ไว้วางใจต่อการพลิกไปพลิกมาของสถานการณ์สงครามการค้าเหล่านี้ ท่ามกลางการฟาดงวงฟาดงาของทรัมป์ ที่เพิ่งประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้าจากบราซิลและอาร์เจนตินา โดยระบุว่าสหรัฐเสียเปรียบสองประเทศนี้ และยังประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าบางรายการของฝรั่งเศสถึง 100% เพื่อตอบโต้การเก็บภาษีดิจิทัลของฝรั่งเศส ที่กระทบต่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย
นอกจากปัจจัยทางเศรษฐกิจแล้ว ยังมีปัจจัยทางการเมืองที่ตอกย้ำความไม่แน่นอนของสงครามการค้า โดยเฉพาะการที่รัฐสภาสหรัฐลงมติผ่านกฎหมายสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในฮ่องกง และกฎหมายสิทธิมนุษยชนของชาวมุสลิมอุยกูร์ในจีน ยิ่งสร้างความเดือดดาลให้กับรัฐบาลจีนที่ประกาศว่าจะต้องมีการตอบโต้อย่างถึงที่สุด
ทั้งหมดนี้ทำให้การขึ้นภาษีในวันที่ 15 ธ.ค. ยังคงมีความเป็นไปได้ทั้งสองทาง โดยวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐระบุว่า กำหนดการขึ้นอัตราภาษียังคงมีความเป็นไปได้ ถ้าหากยังไม่มีการบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกตามรายงานของฟอร์บ แต่นักวิเคราะห์บางส่วนก็ชี้ว่า ทรัมป์อาจตัดสินใจระงับหรือเลื่อนการขึ้นภาษีออกไป เพราะหากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันของชาวสหรัฐเพิ่มสูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อค่าจ้างและรายจ่ายของชาวอเมริกัน ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อคะแนนเสียงของทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020
ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะตัดสินใจอย่างไรในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ หากมีการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรก็อาจเป็นการเติมเชื้อไฟให้กับสงครามการค้า และยกระดับการเผชิญหน้ากันระหว่างสองชาติมหาอำนาจในระยะยาวที่ไม่อาจยุติลงได้ในเร็ววันก็เป็นได้