มีแววเลื่อน!? จับตา “เจรจาการค้าเฟสแรก” ลุ้น “ทรัมป์” ตัดใจไม่ขึ้นภาษีจีนส่งท้ายปี

เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานว่า “การเจรจาข้อตกลงทางการค้าเฟสแรก” ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนมีความคืบหน้า โดยคณะเจรจาทั้งสองฝ่ายกำลังต่อรองกันในประเด็นที่สหรัฐต้องการให้จีนเพิ่มการนำเข้า “สินค้าเกษตร” ของสหรัฐมากขึ้น โดยวอลล์สตรีทเจอร์นัลชี้ว่า มีแนวโน้มสูงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอาจจะตัดสินใจเลื่อนการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มเติม จากกำหนดการเดิมไว้ในวันที่ 15 ธ.ค. นี้

อย่างไรก็ตาม คณะเจรจาการค้าของทั้งสองฝ่ายได้เปิดเผยว่า การเจรจาข้อตกลงทางการค้าเฟสแรกแม้จะมีความคืบหน้าอย่างมาก แต่ก็อาจจะยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ภายในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ อย่างไรก็ดี ยังมีแนวโน้มว่าสหรัฐจะขยายกรอบเวลาการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนออกไปจากเดิม

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศว่า สหรัฐจะขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าราว 160,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 15% ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าเทคโนโลยีอย่าง แล็ปท็อป สมาร์ทโฟน รวมถึงเครื่องแต่งกายและของเล่น

อย่างไรก็ตาม “แลร์รี่ คุดโลว์” ที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการค้าประจำทำเนียบขาว ระบุว่าขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดเวลาที่ตายตัว แต่มาตรการทางภาษียังคงอยู่ระหว่างการตัดสินใจ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์ที่หากเห็นว่า การเจรจาข้อตกลงทางการค้าไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้หรือไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ ก็ยังอาจจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของจีนในวันที่ 15 ธ.ค. นี้ได้เช่นเดิม

แต่หลายฝ่ายยังมองว่า การเลื่อนกำหนดเวลาการขึ้นภาษีของสหรัฐและจีนก่อนหน้านี้เคยมีมาแล้ว หากทั้งสองฝ่ายมองว่าการเจรจามีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งการเจรจาข้อตกลงทางการค้าเฟสแรกครั้งนี้ยังมีสัญญาณดีอย่างต่อเนื่อง เหลือเพียงไม่กี่ประเด็นที่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงสองฝ่ายได้อย่างเช่น การยกเลิกการจัดเก็บภาษีศุลกากรบางส่วนที่มีอยู่ในขณะนี้ รวมถึงประเด็นที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้พยายามเรียกร้องให้จีนเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรมากขึ้น โดยเฉพาะถั่วเหลืองและสัตว์ปีก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรสหรัฐ ที่เป็นฐานเสียงสำคัญของทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2020

ทั้งนี้ หากสหรัฐตัดสินใจขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในวันที่ 15 ธ.ค. นี้ ก็อาจส่งผลกระทบต่อการเจรจาข้อตกลงทางการค้าเฟสแรกที่อาจยืดเยื้อออกไปหรือล้มเหลวลงทันที ซึ่งจะไม่ส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะผู้บริโภคชาวสหรัฐที่ต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น ในช่วงเวลาใกล้เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่จะมีการจับจ่ายใช้สอยเป็นจำนวนมากอีกด้วย