คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจโลก
โดย นงนุช สิงหเดชะ
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- ราคาทองวันนี้ (29 มี.ค. 67) พุ่งกระฉูด 600 บาท ทองรูปพรรณบาทละ 39,050 บาท
- เลิกอุ้มดีเซล 30 บาท จ่อขยับเพดานราคา 2 บาท มีผล 1 เมษายน 2567
โกลด์แมน แซกส์ วาณิชธนกิจและบริษัทบริการทางการเงินชื่อดังระดับโลกของสหรัฐ ออกมาระบุเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า คาดว่าในระยะ 12 เดือนข้างหน้าราคาทองคำจะขยับขึ้นไปแตะ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 8.5% จากราคาเปิดของวันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม ทั้งนี้ราคาทองคำปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่งตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเกือบ 14% ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยต่ำและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อยู่ในระดับปานกลาง
มิคาอิล สปอร์กิส นักวิเคราะห์โลหะมีค่าของโกลด์แมน แซกส์ บอกว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เชื่อว่าราคาทองคำจะพุ่งขึ้นก็เพราะขณะนี้มีการกล่าวถึง ทฤษฎีการเงินสมัยใหม่ หรือ Modern Monetary Theory (MMT) มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งทฤษฎีนี้บอกว่าหนี้และการขาดดุลไม่เป็นปัญหาตราบใดที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ผู้สนับสนุนทฤษฎีนี้จึงแนะนำให้รัฐบาลใช้โอกาสที่อัตราดอกเบี้ยต่ำลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure) และโครงการด้านสังคมเพื่อกระตุ้นการเติบโตเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ
ถึงแม้โกลด์แมน แซกส์ จะไม่คาดหวังว่า MMT จะถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวาง แต่การที่เริ่มมีการพูดถึง MMT หนาหูมากขึ้นจะก่อให้เกิดความกังวลเรื่องการลดค่าเงิน และเงินเฟ้อพุ่งทะยาน ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้วเมื่อใดก็ตามที่สองสิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นจะทำให้คนหันมานิยมซื้อทองคำเพื่อเป็นหลักประกันหรือเป็นเครื่องมือป้องกันเอาไว้ก่อน
“ในยามที่เกิดความไม่แน่นอน สินค้าโภคภัณฑ์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและเก็บสะสมความมั่งคั่งสู้กับเงินเฟ้อ”
นอกเหนือจาก MMT แล้ว โกลด์แมนฯชี้ว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐจะทำให้ตลาดเกิดความปั่นป่วน เกิดแรงหนุนส่งให้ทองคำได้รับความนิยมอีกด้วย ซึ่งความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐนั้นเกิดจากปัญหาความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน รวมทั้งการเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามา ที่ยังไม่แน่นอนว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะได้รับเลือกตั้งหรือไม่ ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนราคาทองคำในปีหน้า ทั้งนี้ความกังวลว่าเงินจะลดค่าลงอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2008 ในสหรัฐก่อให้เกิดความกลัวว่าเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้น ก็ปรากฏว่าสร้างผลบวกให้กับราคาทองคำ
ปัจจุบัน MMT กำลังได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองปีกซ้ายของสหรัฐ เช่น เบอร์นี่ แซนเดอร์ ส.ว.เดโมแครต และ อเล็กซานเดรีย โอคาซิโอ-คอร์เทซ ส.ส.เดโมแครต ซึ่งทั้งสองกำลังรณรงค์หาเสียงเพื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
ในซีกของนักเศรษฐศาสตร์เองมีทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้าน MMT โดยฝ่ายสนับสนุนอ้างว่ารัฐบาลสามารถพิมพ์เงินออกมาใช้ตามความจำเป็น เพราะในทางทฤษฎีมันคือหนี้รัฐบาลและมันจะไม่มีวันผิดนัดชำระหนี้ อีกทั้งไม่จำเป็นต้องเก็บภาษีเพื่อนำไปจ่ายหนี้อีกด้วย ทำให้รัฐบาลสามารถมุ่งสมาธิไปที่การใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการเพื่อสังคม โดยไม่ต้องกังวลว่าจะหาเงินมาจากไหน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายคัดค้าน เช่น ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ อดีตที่ปรึกษาเศรษฐกิจรัฐบาลโอบามาและอดีตรัฐมนตรีคลังยุคบิลล์ คลินตัน บอกว่า MMT คือ “เศรษฐศาสตร์เวทมนตร์” (voodoo economics) และเป็น “สูตรแห่งหายนะ” เช่นเดียวกับ พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ที่รณรงค์ต่อต้าน MMT อยู่เสมอ ขณะเดียวกันประเทศที่ใช้นโยบายคล้าย ๆ MMT เช่น เวเนซุเอลา ก็เป็นที่แน่ชัดว่าเกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง ซึ่งตามข้อมูลของไอเอ็มเอฟ ระบุว่าเพียงไม่กี่ปีเงินเฟ้อในประเทศนี้เพิ่มขึ้น 10 ล้านเปอร์เซ็นต์
MMT เกิดขึ้นจากความพยายามของนักเศรษฐศาสตร์สหรัฐบางคนเพื่อหาทางแก้ปัญหาการว่างงาน ภาวะเศรษฐกิจถดถอยและความไม่เท่าเทียม ผู้คิดค้นก็คือ ลาร์รี แรนดอล เรย์ อาจารย์เศรษฐศาสตร์บาร์ด คอลเลจ และนักวิชาการอาวุโสสถาบันเศรษฐศาสตร์เลวี่ หลักการก็คือตราบใดที่ประเทศนั้น ๆ มีหนี้เป็นสกุลเงินของตัวเอง ก็ไม่มีทางล้มละลาย ถ้ารายได้ของประเทศลดลง
ธนาคารกลางก็ต้องเข้ามาสนับสนุนทางการเงิน เขาบอกว่าประเทศต่าง ๆ ควรได้รับอนุญาตให้ใช้จ่ายมากเท่าที่ต้องการ วิธีนี้เคยสร้างปาฏิหาริย์ให้กับเศรษฐกิจมาแล้วในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เรย์ได้รับเชิญจากสภาคองเกรสไปให้ปากคำเกี่ยวกับ MMT