แอมเนสตี้ชี้การล้มตายของชาวโรฮิงญาเป็นความน่าอับอายของUN

แอมเนสตี้ชี้การล้มตายของชาวโรฮิงญาคือความน่าอับอายของ UN ที่ทำตามสัญญาในการปกป้องผู้ลี้ภัยไม่ได้ ย้ำประเทศร่ำรวยยังคงผลักภาระการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยให้ประเทศยากจน

รายงานข่าวจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวว่าการล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญาในเมียนมา ซึ่งก่อให้เกิดผู้ลี้ภัยระลอกใหญ่นั้น เป็นความน่าอับอายของเหล่าผู้นำโลก โดยเฉพาะประเทศร่ำรวย ที่ต่างล้มเหลวในการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาว่าจะร่วมกันช่วยเหลือผู้ลี้ภัย

“ข้อมูลพบว่าการล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญาระลอกล่าสุดในรัฐยะไข่ของเมียนมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมาก และมีประชาชนที่ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยประมาณ 400,000 คนตลอดช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าจำนวนผู้ลี้ภัยที่หนีไปยังยุโรปทางเรือตลอดปี 59 เลยทีเดียว”

นายซาลิล เช็ตตี้ เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเปิดเผยว่าผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาส่วนใหญ่หนีข้ามชายแดนไปยังบังกลาเทศ ซึ่งเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าประเทศยากจนถูกทิ้งให้ต้องรับมือกับวิกฤตผู้ลี้ภัยครั้งใหญ่ ขณะที่ประเทศร่ำรวยอย่างสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป กลับมีท่าทีเพิกเฉยและให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยน้อยลง

“ประเทศยากจนและรายได้น้อยอย่างบังกลาเทศ ยูกันดา และเลบานอน ถูกทอดทิ้งให้ต้องรับมือกับจำนวนผู้ลี้ภัยมหาศาล ประเทศร่ำรวยซึ่งรองรับผู้ลี้ภัยน้อยกว่า จึงควรหันมาให้ความช่วยเหลือด้านการตั้งถิ่นฐานใหม่มากขึ้น แต่ผู้นำประเทศร่ำรวย ยังคงเพิกเฉยราวกับว่าวิกฤตการณ์นี้ไม่มีอยู่จริง”

นายซาลิลเปิดเผยว่าในที่ประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยผู้ลี้ภัยเมื่อปี 59 รัฐบาลประเทศต่างๆ สัญญาว่าจะรองรับผู้ลี้ภัยให้ได้ประมาณ 360,000 คน แต่ในทางปฏิบัติ กลับไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง หลายประเทศไม่ตอบสนองแต่วิกฤตผู้ลี้ภัย และหลายประเทศยังพยายามลิดรอนสิทธิผู้ภัยมากขึ้นเสียเอง เช่น สหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ที่ลดการรับผู้ลี้ภัยจาก 110,000 คนเหลือ 50,000 คนต่อปี หรือออสเตรเลียที่ขังผู้ลี้ภัยเอาไว้ที่ศูนย์กักกันนอกชายฝั่งซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่อันตราย

 

ที่มา. มติชนออนไลน์