สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานอ้างอิงผลงานการศึกษาของ “ริชาร์ด อาเธอร์ เบ็ตส์” หัวหน้านักวิทยาศาสตร์จากหน่วยงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกของประเทศอังกฤษ ซึ่งกล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (13 ม.ค. 2020) ว่าเหตุการณ์ไฟป่าครั้งประวัติศาสตร์ที่ออสเตรเลียกำลังเผชิญอยู่เป็นการแจ้งเตือนล่วงหน้าว่าออสเตรเลียเสี่ยงเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ทุกปีเนื่องจากปัญหาภาวะโลกร้อนสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการการลุกลามของไฟป่า
นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ทางด้านภูมิอากาศรายนี้ยังกล่าวอีกว่า ออสเตรเลียเป็นประเทศที่เสี่ยงเผชิญกับไฟป่าที่รุนแรงมากที่สุด เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศมีอุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากกว่าประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก โดยพบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของออสเตรเลียเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- หุ้นไทยดิ่งหนัก ตลาดหลักทรัพย์ออก Statement ชี้แจง
- พบรอยร้าวบ่อฝังกลบกากแคดเมียมของ เบาด์ แอนด์ บียอนด์
โดยผลการศึกษาทางด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของ “ริชาร์ด อาเธอร์ เบ็ตส์” ระบุว่า ภาวะโลกร้อนส่งผลให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเกิดไฟป่า เช่น อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น, ความชื้นในอากาศที่ลดลง, ปริมานน้ำฝนลดลง รวมถึงลมที่พัดแรงขึ้น ซึ่งสภาพภูมิอากาศดังกล่าวเป็นสาเหตุของการเพิ่มความถี่และความรุนแรงของการเกิดไฟป่า
ทั้งนี้ เหตุการณ์ไฟป่าออสเตรเลียในปัจจุบันกินพื้นที่ของประเทศประมาณ 11.2 ล้านเฮคตาร์ ซึ่งเทียบเท่ากับพื้นที่กว่าครึ่งของสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ภัยธรรมชาติครั้งนี้ยังคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 28 รายและทำลายบ้านเรือนอีกกว่า 2,000 หลัง โดยนายกรัฐมนตรีสก็อต มอร์ริสัน เพิ่งประกาศจัดตั้งหน่วยงานเพื่อประเมินความเสียหายจากไฟป่าและศึกษาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอีกด้วย
ขณะที่องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก คาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยโลกอาจเพิ่มขึ้นถึง 3-5 อาศาเซลเซียส ภายในปี 2100 หากทั้งโลกยังไม่พยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกซึ่งมากกว่าที่กำหนดไว้ในความตกลงปารีส เมื่อปี 2015 ถึง 3 เท่า