สหรัฐตั้งข้อหา ‘4 ทหารจีน’ จารกรรมข้อมูล ‘ผู้บริโภคอเมริกัน’ กว่าร้อยล้านคน

ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาได้แถลงว่า คณะลูกขุนใหญ่แห่งรัฐบาลกลางได้ตั้งข้อหาสมาชิกของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน 4 ราย ฐานบุกรุกเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของ “อีควิแฟกซ์” (Equifax) บริษัทผู้ให้บริการด้านฐานข้อมูลทางการเงินและสินเชื่อรายใหญ่ของสหรัฐในปี 2017 โดยทั้ง 4 รายได้จารกรรมข้อมูลส่วนบุคคลของชาวอเมริกันราว 150 ล้านคน รวมถึงความลับทางการค้าของบริษัทด้วย

วิลเลียม บาร์ อัยการสูงสุดของสหรัฐระบุว่า การจารกรรมครั้งนี้เป็นการจารกรรมข้อมูลครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งที่เคยมีมา แม้ว่าจะเป็นเรื่องไม่ปกติที่สหรัฐจะฟ้องร้องสมาชิกกองทัพของชาติอื่นหรือหน่วยข่าวกรองนอกประเทศสหรัฐ แต่การเจาะข้อมูลครั้งนี้ไม่เพียงก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญต่ออีควิแฟกซ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกันหลายล้านคน ซึ่งสร้างความเสียหาย และเป็นภาระอย่างมหาศาลในใช้มาตรการป้องกันเพิ่มเติม เพื่อป้องกันการจารกรรมข้อมูลส่วนบุคคล

“ข้อมูลนี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจและการจารกรรมครั้งนี้สามารถช่วยพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ของจีน และยังช่วยพัฒนาข้อมูลเพื่อการกำหนดเป้าหมายทางการค้าด้วย” บาร์กล่าว

ทั้งนี้ เรื่องราวดังกล่าวได้รับการเปิดเผยโดยอีควิแฟกซ์ตั้งแต่เดือนกันยายน 2017 หลังจากที่บริษัทค้นพบการบุกรุกโดยมีการจารกรรมข้อมูลสำคัญอย่าง ชื่อ-นามสกุล รหัสประกันสังคม หมายเลขใบขับขี่ และที่อยู่ของลูกค้า โดยแฮกเกอร์ใช้วิธีการเจาะข้อมูลผ่านทางช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในเครื่องมือ ที่ถูกออกแบบมาสำหรับการสร้างเว็บแอปพลิเคชั่น

ซึ่งภายหลังข้อมูลลูกค้ารั่วไหล “ริชาร์ด สมิธ” ซีอีโอของอีควิแฟกซ์ได้ลาออก และเข้าสู่กระบวนการสอบสวนจากหน่วยงานต่าง ๆ และบริษัทยังถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในคดีแพ่งหลายคดี

“บิล อีวานินา” ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวกรองและความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ ระบุว่า การแฮ็กอีควิแฟกซ์แสดงให้เห็นกิจกรรมของจีนที่ยังคงดำเนินอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงและไม่สามารถยอมรับได้ นับว่าเป็นภัยคุกคามสหรัฐที่ได้จับตาดูอย่างใกล้ชิดในช่วงปีที่ผ่านมา

ขณะที่ “จามิล เอ็น เจฟเฟอร์” รองประธานอาวุโสฝ่ายการพัฒนากลยุทธ์ หุ้นส่วน และความร่วมมือของ IronNet Cybersecurity ระบุว่า “วันนี้เราได้เห็นการฟ้องร้องทหารจีนอีกครั้ง จากการพุ่งเป้าไปที่เอกชนของสหรัฐ ซึ่งเป็นการตอกย้ำความพยายามอย่างยาวนานของพวกเขา ในการบ่อนทำลายขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านเศรษฐกิจของสหรัฐและสถานภาพของเราในระดับโลก”