สหรัฐ ‘สะท้าน’ ไวรัสระบาดตลาดหุ้นสูญ 1.7 ล้านล้าน ใน 2 วัน

AP Photo/Mark Lennihan
คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจโลก
นงนุช สิงหเดชะ

 

ส่อเค้าว่าจะเกิดการระบาดกว้างไปทั่วโลก หรือ global pandemic แล้วสำหรับเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 เมื่อมีจำนวนประเทศที่ติดเชื้อมากขึ้นเรื่อย ๆ บางประเทศอยู่ ๆ ก็มีผู้ติดเชื้อพุ่งเป็นจรวด เช่น กรณี เกาหลีใต้ จากที่เคยอยู่อันดับท้าย ๆ มีผู้ติดเชื้อแค่ 10 กว่าคน กลับแซงพรวดพราดขึ้นมามีผู้ติดเชื้อกว่า 1,000 คนแล้ว ในเวลาไม่กี่วัน จนกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากอันดับ 2 รองจาก จีน เช่นเดียวกับ อิหร่าน และ อิตาลี ที่อยู่ ๆ จำนวนผู้ติดเชื้อทะยานในชั่วข้ามคืน ทำให้องค์การอนามัยโลกออกมาแสดงความกังวลอย่างมาก

สำหรับสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับคะแนนด้านการควบคุมและรับมือโรคระบาดดีที่สุดอันดับ 1 ของโลก จากที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อเคยนิ่ง ๆ อยู่ที่ 15 คน ก็กระโดดพรวดขึ้นมาเป็น 57 คนในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ แซงประเทศไทยไปแล้ว แม้ว่าสหรัฐจะเป็นชาติแรกที่ประกาศแบนคนจีนและทุกสัญชาติที่เคยเดินทางไปจีนไม่ให้เข้าสหรัฐก็ตาม ทำให้ล่าสุด แอนน์ ชูแชต รองผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (CDC) ออกมายอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการระบาดทั่วโลก ขณะเดียวกัน

สำหรับในสหรัฐเอง คงไม่ต้องถามแล้วว่าจะเกิดการระบาดหรือไม่ เพราะเหลือเพียงแต่ว่าการระบาดจะเกิดขึ้นเมื่อใดเท่านั้น รวมทั้งจะมีคนในประเทศนี้ติดเชื้อมากแค่ไหน อีกทั้งเชื้อนี้จะพัฒนาตัวเองเป็นโรคร้ายแรงและซับซ้อนเพียงใด

การระบาดของไวรัสและจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐตื่นตระหนกเทขายหุ้นอย่างหนัก ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 1,000 กว่าจุด ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ เลวร้ายที่สุดในรอบ 2 ปี และนับเป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเกินกว่า 1,000 จุดภายในวันเดียว นอกจากนั้นยังร่วงลงอีกเกือบ 900 จุดในวันถัดมา

นักวิเคราะห์ประเมินว่า หากดูจากการร่วงลงของดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีที่คำนวณจากหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัท และมีน้ำหนักถึง 80% ในตลาดหุ้น เท่ากับว่าภายใน 2 วัน คือ 24-25 กุมภาพันธ์ ดัชนีดังกล่าวลดลงไปรวม 6.3% หรือคิดเป็นมูลค่า 1.737 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ย่ำแย่ที่สุดนับจากเดือนกุมภาพันธ์ปี 2015 และสิงหาคม 2018 ตามลำดับ ประเด็นนี้เองทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โกรธมาก

ซึ่งตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ระบุว่า ทรัมป์เชื่อว่าเหตุที่หุ้นตกมากขนาดนั้นเป็นเพราะเจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐออกมาเตือนว่าไวรัสอาจระบาดทั่วสหรัฐ ทำให้นักลงทุนตกใจ ความกลัวว่าจะสร้างความตกใจมากไปกว่านี้ ทำให้ทรัมป์เพิ่มความระมัดระวังที่จะอนุมัติงบประมาณเพื่อต่อสู้กับไวรัส เพราะเกรงว่าจะเป็นการส่งสัญญาณลบต่อตลาด โดยก่อนหน้านั้นในวันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ ทรัมป์ได้ออกมาทวีตด้วยตัวเองว่าสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสได้เป็นอย่างดี และตลาดหุ้นเริ่มจะดูดีมาก ๆ

ไซมอน พาวเวลล์ นักกลยุทธ์หุ้นของเจฟฟรีส์ ให้ความเห็นว่า เมื่อดูจากการเดินทางของชาวจีน เกาหลีใต้และอิหร่าน เข้ามาในทวีปอเมริกาเหนือจำนวนมาก มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการระบาดในสหรัฐ มันเป็นการยากที่จะเชื่อว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐจะต่ำอย่างที่มีการรายงานออกมา ดังนั้น ตลาดหุ้นจึงตื่นตระหนก “ครั้นจะให้สหรัฐปิดเมืองสัก 1 เดือนแบบที่จีนทำ หรือล้อมรั้วสัก 10 เมืองแบบอิตาลี ก็ทำไม่ได้และไม่ได้ผล หนำซ้ำจะยิ่งทำให้ตลาดตื่นตกใจเข้าไปใหญ่”


สกอตต์ กอตต์ลีบ อดีตกรรมาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ ชี้ว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีตรวจวินิจฉัยของสหรัฐไม่ได้รับการปรับปรุงให้ดีเพียงพอ เป็นไปได้ที่มีการระบาดมากกว่านี้แต่ตรวจไม่พบ ดังนั้น ในอนาคตเป็นไปได้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ศักยภาพในการตรวจวินิจฉัยของสหรัฐอยู่ที่ 50-100 คนต่อวันเท่านั้น และมียอดการตรวจสะสมอยู่ที่ 500 คนเท่านั้น ในขณะที่เกาหลีใต้ตรวจไปแล้ว 35,000 คน และพบผู้ติดเชื้อ 900 คน