คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
- เช็กที่นี่ ออมสิน-ธ.ก.ส. จัดสินเชื่อปิดหนี้นอกระบบ 20,000 บาท ใครกู้ได้บ้าง!
- กรุงเทพฯ กปน.หยุดจ่ายน้ำ 21 มี.ค. 18 พื้นที่ รับมือน้ำไม่ไหล เช็กที่นี่
- เร่งสายสีแดง มธ.รังสิต-มหิดล ศาลายา คอนโดฯ-บ้านเดี่ยวจ่อเปิดตัวรับเทรนด์ปีมังกร
ภาพสะท้อนที่แสดงให้เห็นถึงพลานุภาพทำลายล้างทางเศรษฐกิจของโรคระบาดโควิด-19 ที่เป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุด เห็นจะเป็นตัวเลขคน “ตกงาน” ในสหรัฐอเมริกา ที่แถลงกันออกมาเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา
ในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์ คนอเมริกันตกงานแล้วไปยื่นขอสิทธิประโยชน์จากทางการมากถึง 3.3 ล้านคน
มากเป็นประวัติการณ์เท่าที่เคยมีการบันทึกสถิติเรื่อยมา
สถิติตกงานเป็นรายสัปดาห์ของคนอเมริกันที่เคยเป็นสถิติสูงสุดคือ 695,000 คน ยืนยงมานานตั้งแต่ปี 1982
ที่น่าตกใจมากยิ่งขึ้นก็คือ นั่นเป็นเพียงตัวเลขแรงงานในระบบเท่านั้น ยังไม่รวมงานพาร์ตไทม์ งานที่เป็นของตัวเอง งานที่รับทำชั่วคราวอย่างที่อเมริกันเรียกว่า “gig workers” ซึ่งไม่สามารถอ้างสิทธิประโยชน์ได้ ซึ่งรวมแล้วมีจำนวนอีกมาก
และทั้งหมดนั่นเป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง
เศรษฐกิจการบริการ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม, ภัตตาคาร และร้านค้าปลีกทั้งหลาย ถูก “ชัตดาวน์” ลงโดยสิ้นเชิง เพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อโควิด-19
ผลก็คือเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยแน่นอนแล้ว ที่ยังไม่แน่นอนก็คือ จะถอยลงลึกแค่ไหนและเลวร้ายเพียงใดเท่านั้นเอง
นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ทั่วไปประเมินเอาไว้เป็นพื้นฐานว่า หลังไตรมาสแรกที่เลวร้ายผ่านไป เศรษฐกิจอเมริกันในไตรมาส 2 สิ้นสุดในเดือน มิ.ย.จะหดตัวลงมากถึง 25% จำนวนคนตกงานในเวลานั้นจะมีไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน
บางคนอย่างเช่น ประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาสาขาเซนต์หลุยส์ เชื่อว่า ภาวะถดถอยจะดิ่งลึกลงไปมากจนทำให้จีดีพีติดลบมากถึง 50% ในเวลานั้น และนั่นจะทำให้ 30% ของแรงงานทั้งหมดกลายเป็นคนว่างงาน
ปัญหาที่แท้จริงก็คือ ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อถึงตอนนั้น เพราะไม่เคยพบเคยเห็นสภาพการณ์เช่นนี้กันมาก่อน
เดวิด ออเทอร์ นักเศรษฐศาสตร์แรงงานแห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกว่าเป็นนักวิชาการชั้นนำด้านนี้ ชี้ให้เห็นว่า ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือภาวะเงินฝืดที่ผ่านมา มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหลายของรัฐ จะส่งผลให้เกิดความต้องการแรงงานขึ้นตามมา
ประเด็นหนักหนาสาหัสในเวลานี้ก็คือ รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจไปพลาง บอกให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านไปพลาง กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดก็ยุติลงไปพร้อม ๆ กัน
ทุกอย่างจึงต้องรอ รอให้สถานการณ์ระบาดที่เลวร้ายที่สุดผ่านพ้นไป เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ กลไกปกติของมาตรการกระตุ้นเหล่านั้นจึงสามารถจะผลิดอกออกผลได้
ปัญหาสำคัญก็คือ ในช่วงของการรอนี้ เราจำเป็นต้อง “อุ้ม” ให้ธุรกิจทั้งหลาย “อยู่รอด” ต่อไปให้ได้ ห้ามปล่อยให้ล้มหายตายจากไปก่อน ไม่เช่นนั้น การ “รีสตาร์ต” เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจทำได้ยากมาก ถึงมากที่สุด
นี่คือความสำคัญของมาตรการแจกเงิน มาตรการช่วยเหลือ บรรเทาผลกระทบทั้งหลาย ซึ่งเหมาะสมที่สุดกับสภาวการณ์เช่นนี้
และเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการยืดชีวิตของแรงงาน ของกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งในยามปกติก็ “เปราะบาง” อยู่แล้ว แต่ในเวลานี้สถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุด ชนิดทุกคนเห็นได้ชัดเจน
ถามว่า มาตรการรัฐบาลอเมริกัน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ พอหรือไม่ เหมาะหรือไม่
อรินทราจิต ดูเบ นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ แอมเฮิรสต์บอกว่าไม่มีวันที่จะมีมาตรการไหน ๆ สมบูรณ์แบบ แต่ที่สำคัญก็คือ “ต้องทำ” และ “ต้องทำแบบมีเป้าหมาย” ที่ชัดเจน
ต้องพุ่งเป้าให้ความช่วยเหลือไปยังภาคส่วนของเศรษฐกิจที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดและเร็วที่สุดในเวลานี้ก่อน ตรวจสอบกันให้ดีว่า กิจการประเภทใดควรได้รับความช่วยเหลือก่อนล้มหายตายจาก ต้องตระหนักว่า พื้นที่ใด เมืองไหนที่ประสบปัญหา เผชิญความยุ่งยากลำบากมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ
หลาย ๆ ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง กิจการของตัวเอง ก็ต้องการทุนไปหมุนเวียนแบบที่เข้าถึงได้ง่าย ไม่มีเงื่อนไขจำกัดมากนัก เหมือน ๆ กับบรรดาคนตกงาน ไม่เช่นนั้นก็จะม้วนเสื่อไปโดยถาวรเช่นเดียวกัน
ธุรกิจขนาดใหญ่ เงินทุนหมุนเวียนมีมาก และกิจการบางประเภท ในบางพื้นที่ ยังสามารถรอได้จนกว่าจะถึงช่วงของการฟื้นฟู
ไม่เช่นนั้น ไม่เพียงบรรดากิจการเหล่านี้จะล้มหายตายจากไปมากมาย แรงงานเคว้งคว้างมหาศาลเท่านั้น
มาตรการฟื้นฟู ดึงกิจการเศรษฐกิจขึ้นมาให้คึกคักเหมือนเดิม หรือยิ่งกว่าเดิม ก็เป็นไปได้ยากเย็นอย่างยิ่งนั่นเอง