ผู้ว่าโตเกียว ประกาศตั้งพรรคใหม่ ชิงคะเเนนจากพรรครัฐบาล “อาเบะ” สู้ศึกเลือกตั้งญี่ปุ่น !

ผู้ว่าการกรุงโตเกียว ประกาศจะเป็นผู้นำของพรรคที่กำลังจะจัดตั้งขึ้นใหม่ เพื่อช่วงชิงคะเเนนเสียงจากพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ในศึกเลือกตั้งทั่วไปซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในเดือนหน้านี้

นางยูริโกะ โคอิเกะ ผู้ว่าการกรุงโตเกียวแถลงวันนี้ถึงการจัดตั้งพรรคใหม่ โดยมีเธอเป็นหัวหน้า โดยจะมีการตั้งชื่อพรรคการเมืองใหม่นี้ว่า “Kibou no To (Party of Hope)” หรือ “พรรคแห่งความหวัง”

• เปิดคำทำนาย “นางมโหธรเทวี” นางสงกรานต์ ปี 2567 ฝนตกในโลกมนุษย์ 30 ห่า
• สรุปวิธีใช้เงินดิจิทัล และเงินสด 10,000 บาท ใครขึ้นเงินสดได้บ้าง
• เงินดิจิทัล 10,000 บาท ใช้จ่ายได้ใน ฟาสต์ฟู้ด KFC-Lotus’s Go Fresh

สำหรับ “ยูริโกะ โคอิเกะ” ผู้ว่าการกรุงโตเกียว กำลังได้รับความนิยมจากประชาชน หลังเธอชนะการเลือกตั้งผู้ว่าการกรุงโตเกียวเมื่อปีก่อน ขณะที่ผู้สมัครพรรคอิสระของเธอก็ยังชนะพรรคแอลดีพีในการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงโตเกียวด้วย

นางโคอิเกะ ถือเป็นคู่แข่งคนสำคัญของนายอาเบะ เธอเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงป้องกันประเทศและอดีตสมาชิกพรรคแอลดีพี เเละเป็นผู้ว่าการหญิงคนแรกของกรุงโตเกียว ก่อนหน้านี้เธอประกาศจะปฏิรูปโตเกียวในทุกๆด้าน เเละพร้อมเป็นเจ้าภาพการเเข่งขันโอลิมปิก ปี 2020

ด้านสื่อหลายสำนักคาดว่า นายกรัฐมนตรีอาเบะ จะประกาศเเผนการจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนดในวันนี้ (25 ก.ย.) โดยจะให้มีการเลือกตั้งในเดือนหน้า เพื่อฉวยจังหวะที่รัฐบาลกำลังมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นและฝ่ายค้านเสียงแตก คาดว่าการรณรงค์หาเสียงจะเริ่มขึ้นในวันที่ 10 ต.ค. และการเลือกตั้งทั่วไปคาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 22 ต.ค.นี้

สำหรับผลสำรวจหนังสือพิมพ์ธุรกิจนิกเกอิเมื่อสุดสัปดาห์ ระบุว่า พรรคแอลดีพีได้คะแนนสนับสนุนร้อยละ 44 ขณะที่ผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปไตยซึ่งเป็นฝ่ายค้านหลัก มีอยู่เพียงร้อยละ 8

ขณะที่ผลสำรวจของสำนักข่าวเกียวโดพบว่า ร้อยละ 27.7 จะลงคะแนนให้พรรคแอลดีพี และร้อยละ 42.2 ยังไม่ตัดสินใจ

ทั้งนี้ ก่อนนี้มีรายงานผลสำรวจความนิยมของชาวญี่ปุ่น ชี้ว่าคะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรีขยับขึ้นมา หลังลดไปเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนกรณีเกิดวิกฤติศรัทธาจากข้อครหาที่ว่าเอื้อประโยชน์ให้กับคนใกล้ชิด และถูกวิจารณ์กรณีไม่รับฟังเสียงประชาชนหลังบริหารประเทศมาแล้วกว่า 4 ปี

อย่างไรก็ตามกระแสความนิยมที่กลับมาดีขึ้น อาจเป็นเพราะประชาชนต้องการให้บริหารประเทศต่อ เนื่องจากรู้สึกวิตกกังวลหลังเกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์หลายครั้ง