“ทรัมป์” แจกเงินคนอเมริกัน1,200-2,400 เหรียญ ตกงานรับเพิ่ม 600 เหรียญ/สัปดาห์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (13 – 17 เมษายน 2563)  ประชาชนชาวสหรัฐอเมริกาที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้รับการแจกเงินแล้ว อย่างต่อเนื่อง  แบ่งเป็นบุคคล ที่เข้าข่ายได้รับเงิน ดังนี้

1.โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารให้ทุกคน 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับคนโสดและมีรายได้ทั้งปีน้อยกว่า 75,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนคนที่มีครอบครัวถ้ารายได้ทั้งปีน้อยกว่า 150,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทุกครอบครัวได้รับเงิน 2,400 ดอลลาร์สหรัฐ เด็กและเยาวชนได้รับคนละ 500 ดอลลาร์สหรัฐ ได้รับโอนครั้งเดียว ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา

2.ผู้ที่ตกงาน ขณะนี้มีประมาณ 15 ล้านคน จะได้รับแจกเงินสูงสุด 600 ดอลลาร์สหรัฐ/สัปดาห์ คาดว่าน่าจะได้รับประมาณระยะเวลา 16 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเงินส่วนที่เพิ่มมาจากเงินที่ได้จากการตกงาน เช่น พนักงานเสิร์ฟที่ตกงาน เพราะร้านถูกสั่งปิด ได้รับเงินตกงาน 480 ดอลลาร์สหรัฐ/สัปดาห์ และในสัปดาห์นั้น จะได้รับเงินเพิ่มอีก 600 ดอลลาร์สหรัฐ

3.กลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ที่ได้รับผลประทบ รัฐบาลรัฐผิดชอบจ่ายค่าจ้างให้พนักงาน รายละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้เปิดเผยถึงแผน 3 ระยะ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้ 50 รัฐทั่วประเทศ ผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ และ เข้าสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยระบุว่ารัฐที่มีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ สามารถปฏิบัติตามได้ทันที

ระยะแรก ประชาชนต้องงดรวมกลุ่มเกิน 10 คน หลีกเลี่ยงการเดินทางไม่จำเป็น และ ส่งเสริมการทำงานที่บ้าน ส่วนสถานที่สาธารณะ เช่น โรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร สนามกีฬา และ ศาสนสถาน เปิดได้ภายใต้การเว้นระยะทางสังคมอย่างเข้มงวด ขณะที่โรงพยาบาลที่รักษาผู้ป่วยโควิด-19 เริ่มผ่าตัดแก่ผู้ป่วยฉุกเฉินได้

ระยะสอง เมื่อไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อ ให้เดินทางโดยไม่จำเป็นได้ แต่ยังงดหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มเกิน 50 คน อนุญาตเปิดโรงเรียน ค่ายเยาวชน และ สถานบันเทิง รวมถึงให้โรงพยาบาลผ่าตัดผู้ป่วยทั่วไป เพื่อเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง

ระยะสาม คือใกล้เข้าสู่สภาวะปกติ แต่ประชาชนต้องมีมาตรฐานสุขอนามัยสูงขึ้น และยังใช้มาตรการเว้นระยะทางสังคมต่อไป เพื่อลดโอกาสติดเชื้อจากผู้ป่วยไม่แสดงอาการ

โดยแผน 3 ระยะ ต่อเนื่องจากแผนการแจกเงินคนอเมริกันผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 คนละ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 39,000 บาท สำหรับผู้มีรายได้ไม่ถึงปีละ 75,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2,400,000 บาทต่อปี