สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญสิงคโปร์แสดงความกังวลว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจกลายเป็นศูนย์กลางของการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของโรค โควิด-19 แห่งใหม่ของโลก เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ คิดเป็นสัดส่วนถึง 87.9% ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดในภูมิภาค
แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรวมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงไม่สูงมากนัก หากเทียบกับภูมิภาคอื่นที่มีจำนวนผู้ป่วยนับแสนรายอย่างในยุโรปและอเมริกา แต่ผลการสำรวจหลายแห่งระบุว่า อัตราการตรวจหาเชื้อที่ต่ำในหลายประเทศ โดยเฉพาะในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ทำให้ไม่สามารถยืนยันตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แท้จริงซึ่งอาจแฝงตัวอยู่หลายหมื่นคนได้
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- รักษาการอธิบดี DSI เปิดเงื่อนไข “ขนย้ายกากแคดเมียม” เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่
แต่ในกรณีของสิงคโปร์ที่มีการตรวจหาเชื้ออย่างเข้มงวดและมีการรับมือกับโรคระบาดได้เป็นอย่างดี ก็ได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานต่างชาติที่อาศัยในห้องพักแออัด
“ไซมอน เทย์” ประธานคณะทำงานสถาบันด้านกิจการระหว่างประเทศของสิงคโปร์ระบุว่า “ข้อเท็จจริงคือ มีผู้ป่วยเดินทางเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนมาก” โดยเขาเรียกร้องให้รัฐบาลต่าง ๆ ในอาเซียนเร่งดำเนินการการตรวจหาเชื้ออย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันโรคระบาด “เราต้องลงมือทำ ตัวเลขการตรวจหาเชื้อของฟิลิปปินส์และการตรวจหาเชื้อของอินโดนีเซียต่ำเกินไป”
ทั้งนี้ ตัวเลขการตรวจหาเชื้อของประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แตกต่างกันอย่างมาก โดยสิงคโปร์มีอัตราการตรวจหาเชื้อมากถึง 16,203 ครั้งต่อ 1 ล้านคน ขณะที่เมียนมามีการตรวจหาเชื้อเพียง 85 ครั้งต่อ 1 ล้านคน ตามสถิติของเว็บไซต์ Worldometer
แต่ผู้เชี่ยวชาญแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียมากกว่า เนื่องจากทั้งสองประเทศมีจำนวนประชากรมากและมีอัตราการติดเชื้อสูงกว่าประเทศอื่น โดยอินโดนีเซียที่มีประชากรกว่า 270 ล้านคนมากเป็นอันดับ 4 ของโลก แต่มีการตรวจหาเชื้อไปแล้ว 42,000 ครั้ง หรือคิดสัดส่วนเป็น 154 ครั้งต่อ 1 ล้านคน
ขณะที่แบบจำลองสถานการณ์ระบาดในฟิลิปปินส์ชี้ว่า มีจำนวนผู้ติดเชื้อแฝงที่ไม่ได้รับการตรวจหาเชื้อราว 75% หรือราว 15,000 คนจากจำนวนประชากรทั้งประเทศ