สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า พนักงานจำนวนมากของ “เฟซบุ๊ก” บริษัทโซเชียลมีเดียรายใหญ่ระดับโลก ได้หยุดงานประท้วงแบบ virtual walkout ในวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อท่าทีของ “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” ซีอีโอของบริษัทที่ออกมาระบุก่อนหน้านี้ว่า เฟซบุ๊กจะไม่ปิดกั้นข้อความของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ถูกมองว่าสนับสนุนการใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มผู้ประท้วงในสหรัฐอเมริกา
กระแสความไม่พอใจต่อการตัดสินใจของนายซักเคอร์เบิร์กเกิดขึ้น หลังจากที่ “ทวิตเตอร์” บริษัทโซเชียลมีเดียรายใหญ่คู่แข่งของเฟซบุ๊ก ดำเนินการปิดกั้นข้อความของประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีเนื้อหาระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเริ่มยิงผู้ชุมนุมได้ทันทีหากมีการปล้นสะดม ซึ่งถูกมองว่าเป็นส่งเสริมการใช้ความรุนแรง แต่เฟซบุ๊กกลับไม่ดำเนินการใด ๆ กับข้อความดังกล่าวที่ประธานาธิบดีทรัมป์โพสต์ในเฟซบุ๊กด้วยเช่นกัน
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- อย. เตือนอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ CDS มาทาน อันตรายถึงชีวิต
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
ทั้งนี้ การประท้วงแบบ virtual walkout ของพนักงานเฟซบุ๊กใช้วิธีการหยุดปฏิบัติหน้าที่และโพตส์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียต่าง ๆ โดยเฉพาะทวิตเตอร์ แสดงความไม่เห็นด้วยต่อนายซักเคอร์เบิร์ก ซึ่งในขณะนี้พนักงานของเฟซบุ๊กส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงทำงานที่บ้านหรือ “เวิร์กฟอร์มโฮม” โดยพนักงานระดับสูงหลายคนได้เข้าร่วมการประท้วงและเตือนบริษัทให้ทบทวนทบทวนนโยบายด้านความรุนแรง
ข้อความของพนักงานเฟซบุ๊กรายหนึ่งที่ปรากฎบนทวิตเตอร์ระบุว่า “การตัดสินใจล่าสุดของเฟซบุ๊กที่จะไม่ดำเนินการกับโพสต์ที่กระตุ้นให้เกิดความรุนแรง ถือเป็นการละทิ้งทางเลือกอื่น ๆ ในการทำให้ชุมชนของเราปลอดภัย เราขอวิงวอนให้ผู้นำเฟซบุ๊ก #TakeAction”
ขณะที่ “ไรอัน เฟรย์ตัส” ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับหน้าฟีดเฟซบุ๊ก ระบุว่า “มาร์กตัดสินใจผิดพลาด และผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการเปลี่ยนแปลงความคิดของเขา” โดยเขาระบุว่าจะเร่งรวบรวมบุคลากรที่มีความคิดเช่นเดียวกับเขาเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร
อย่างไรก็ตาม โฆษกของเฟซบุ๊กเปิดเผยว่าบริษัทจะอนุญาตพนักงานเข้าร่วมการหยุดงานประท้วงครั้งนี้ได้โดยไม่ถือเป็นวันลา ซึ่งไม่เพียงแต่เฟซบุ๊กเท่านั้น แต่บริษัทโซเชียลมีเดียอีกหลายราย อย่างกูเกิลและอเมซอนก็ได้รับเสียงเรียกร้องให้ทบทวนนโยบายด้านความรุนแรงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตนเองด้วย
