โรงหนังจีนกว่า 5,000 แห่งไปไม่รอด ทุบฐานอำนาจ “ซอฟต์พาวเวอร์”

(Photo by STR / AFP) / China OUT

การระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำลายอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ของจีน ที่เคยมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในโลก และผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการธุรกิจโรงหนังเท่านั้น แต่อาจส่งผลไปยังการขยายอิทธิพล “ซอฟต์พาวเวอร์” ของจีน ผ่านการส่งออกภาพยนตร์อีกด้วย

ก่อนการระบาดของไวรัสถือว่าเป็น “ยุคทอง” ของธุรกิจโรงหนังจีน “สเตติสต้า” บริษัทวิจัยของเยอรมนี ได้เก็บข้อมูลโรงภาพยนตร์ของประเทศจีนพบว่า จำนวนโรงภาพยนตร์ของจีนเมื่อปี 2019 มีมากถึง 70,000 จอ ถือเป็นจำนวนที่มากที่สุดในโลก และเติบโตถึง 14 เท่า จากเมื่อปี 2009

อย่างไรก็ตาม การระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลต่อธุรกิจอย่างหนัก เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ รายงานอ้างอิงรายงานวิจัยของสมาคมภาพยนตร์แห่งประเทศจีนซึ่งคาดการณ์ว่า มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดเพื่อจำกัดการระบาดของโควิด-19 ในประเทศจีน จะสร้างผลกระทบให้โรงภาพยนตร์กว่า 5,000 แห่ง จากทั้งหมด 12,408 แห่งทั่วประเทศจีน อาจต้องปิดตัวลงอย่างถาวร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 40% ของโรงหนังทั่วประเทศ

บทวิจัยเปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1/2020 รายได้การจำหน่ายตั๋วลดลงกว่า 88% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 344,500 หยวนต่อโรง ขณะที่ค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ประมาณ 30%

ทางสมาคมยังประเมินว่า หากทางการอนุญาตให้โรงภาพยนตร์กลับมาดำเนินการในเดือน มิ.ย. และในช่วงครึ่งหลังของปี โรงหนังสามารถกลับมาสร้างรายได้เทียบเท่ากับปี 2019 รายได้ทั้งปีก็ยังลดลงถึง 66% แต่หากทางการอนุญาตให้มีการเปิดโรงภาพยนตร์ในช่วงเดือน ต.ค. จะส่งผลให้รายได้ทั้งปีลดลงถึง 91%

“จื่อ เฟ่ยนา” ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของจีนกล่าวว่า “ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปิดโรงหนังที่ยาวนานกว่า 100 วัน นับว่าเป็นความเลวร้ายต่อธุรกิจที่สุดครั้งหนึ่งเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เมื่อปี 1984 ซึ่งเป็นช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่น”

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมโรงหนังมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการนำเสนอวัฒนธรรมและค่านิยมของประเทศ โดยนับตั้งแต่เมื่อปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ใช้ภาพยนตร์ในการเผยแพร่ “พร็อพพาแกนดา” เพื่อสร้างอุดมการณ์ชาตินิยมและปลูกฝังแนวคิดของพรรค และเมื่อจีนเริ่มเปิดประเทศจนกลายเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับที่ 2 ที่ ขยายอิทธิพลทางการค้าและการลงทุนไปทั่วโลก บทบาทการผลิตภาพยนตร์ของจีนจึงขยายขอบเขตสู่การนำเสนอวัฒนธรรม นโยบาย และค่านิยมของประเทศไปยังทั่วโลก ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการขยายอำนาจผ่านการส่งออก “อำนาจอ่อน” หรือ “ซอฟต์พาวเวอร์”

โดยการส่งออกอำนาจอ่อนผ่านงานภาพยนตร์ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการขยายบทบาทและอิทธิพลจีนบนเวทีโลก กรณีดังกล่าว “เซียง ย่ง” รองคณบดีภาควิชาอุตสาหกรรมวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ได้เปรียบเทียบ “ฮอลลีวู้ด” ว่า เป็นกระทรวงการต่างประเทศตัวจริงของสหรัฐ เนื่องจากบทบาทที่สูงลิ่วในการนำเสนอค่านิยมของอเมริกันชนสู่ทั่วโลกผ่านงานภาพยนตร์ อย่างไรก็ตาม อาจารย์จากมหาวิทยาลัยปักกิ่งชี้ว่า “ปัจจุบันจีนยังคงด้อยกว่าสหรัฐในด้านนี้มาก”

รัฐบาลจีนจึงได้มีการสนับสนุนเงินทุนสำหรับการสร้างภาพยนตร์ เพื่อแข่งขันกับ “ฮอลลีวู้ด” ของสหรัฐ ซึ่งนับว่าเป็นการช่วงชิงการขยายอิทธิพลระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นอีกมิติการแข่งขันของสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม เดอะ การ์เดี้ยน รายงานอ้างอิงหนังเรื่อง The Flowers of War ซึ่งกำกับโดย “จาง อี้โหมว” โดยมีทุนสร้างกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งงบฯบางส่วนได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลจีน ขณะที่หนังทำรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศในสหรัฐเพียง 311,000 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น จึงกล่าวได้ว่าปัจจุบันภาพยนตร์ของจีนยังไม่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศเท่าที่ควร แต่ได้รับความนิยมในประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่

ดังนั้น การมีอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ในประเทศจึงเป็นฐานที่รองรับการผลิตภาพยนตร์ของจีน ขณะที่การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้โรงหนังทั่วประเทศราว 4 ใน 10 แห่ง อาจต้องปิดตัวลงถาวร จึงเป็นการทำลายฐานการส่งออกซอฟต์พาวเวอร์ของจีนด้วย