สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า บริษัทเอกชนของสหรัฐอเมริกายื่นฟื้นฟูกิจการตามหมวด 11 (Chapter 11) แห่งกฎหมายล้มละลายของสหรัฐในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 48% จากเดือน พ.ค. 2019 ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐหยุดชะงัก
สถาบันล้มละลายอเมริกันเปิดเผยข้อมูลเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า ในเดือน พ.ค. 2020 มีบริษัทเอกชนของสหรัฐยื่นฟื้นฟูกิจการรวมทั้งสิ้น 722 รายทั่วประเทศ เพิ่มขึ้นยอดการยื่นขอฟื้นฟูกิจการในเดือน พ.ค. 2019 ที่มี 487 ราย โดยยอดการขอฟื้นฟูกิจการตามหมวด 11 แห่งกฎหมายล้มละลายในเดือน พ.ค.ยังเพิ่มสูงขึ้น 28% จากเดือน เม.ย. ที่ผ่านมาด้วย
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
ทั้งนี้ บริษัทเอกชนของสหรัฐต่างได้รับผลกระทบจากการมาตรการล็อกดาวน์ที่หลายรัฐประกาศใช้ ส่งผลให้ภาคธุรกิจต่างขาดสภาพคล่องทางการเงินและต้องผิดนัดชำระหนี้ ส่งผลให้การยื่นฟื้นฟูกิจการตามหมวด 11 แห่งกฎหมายล้มละลายกลายเป็นทางเลือกที่หลายบริษัทตัดสินใจใช้ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้และจัดการทรัพย์สินของบริษัทสำหรับการฟื้นตัวในอนาคต
โดยมีบริษัทเอกชนรายใหญ่หลายรายของสหรัฐอย่าง “เจซี เพนนี” (J.C. Penney) และ “นีแมน มาร์คัส” (Neiman Marcus) เชนห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ รวมถึง “เฮิร์ทซ” (Hertz) ผู้ให้บริการรถเช่ารายใหญ่ระดับโลกที่ยื่นฟื้นฟูกิจการตามหมวด 11 ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา