‘จีน’ ดันโลกใช้ ‘เงินหยวน’ รับมือ ‘สหรัฐ’ เปิดศึกแซงก์ชั่น

REUTERS/Thomas White/Illustration/File Photo/File Photo

ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาที่ตึงเครียดขึ้นขณะนี้ สะสมมาตั้งแต่สงครามการค้า รวมถึงที่สหรัฐกล่าวโทษว่า จีนเป็นต้นเหตุของโควิด-19 มาจนถึงความพยายามกระชับอำนาจในฮ่องกง ยิ่งส่งผลสะเทือนไปถึงความสัมพันธ์อันเปราะบางระหว่างสองประเทศ และเป็นไปได้ว่า สหรัฐอาจใช้มาตรการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจต่อจีนเช่นที่เคยกระทำต่อรัสเซีย

เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์รายงานว่า จีนกำลังเตรียมรับมือความเสี่ยงที่ภาคเอกชนของจีนจะต้องหลุดออกจากระบบเงินดอลลาร์สหรัฐ หากรัฐบาลสหรัฐใช้มาตรการ “แซงก์ชั่นจีน” ซึ่งจะสร้างความยากลำบากอย่างมากให้กับธุรกิจและสถาบันการเงินของจีน ที่ใช้เงิน “ดอลลาร์สหรัฐ” ในกิจกรรมการค้าการลงทุนข้ามชาติ

“ฟาง ซิงไห่” รองประธานคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์จีนระบุว่า ปัจจุบันข้อตกลงระหว่างธุรกิจและสถาบันทางการเงินของจีนกับต่างชาติส่วนใหญ่อิงกับระบบเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะได้รับผลกระทบอย่างมากสหรัฐคว่ำบาตรจีน “สถานการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นกับธุรกิจและสถาบันทางการเงินของรัสเซียหลายแห่ง เราต้องเตรียมการไว้แต่เนิ่น ๆ”

ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐเคยใช้มาตรการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียเมื่อปี 2014 ทำให้ธุรกิจและสถาบันการเงินของรัสเซียถูกปิดกั้นการเข้าถึงระบบเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศอย่างมาก เนื่องจาก เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นระบบที่ทั่วโลกให้การยอมรับ เพราะมีโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ อย่างเช่นระบบการส่งข้อมูลการชำระเงินระหว่างประเทศ “SWIFT” และระบบเคลียริ่งเฮาส์ชำระเงินระหว่างธนาคาร (CHIPS)

ความตึงเครียดระหว่าง “จีนกับสหรัฐ” ในขณะนี้ทำให้เกิดความกังวลว่า รัฐบาลสหรัฐอาจใช้มาตรการแซงก์ชั่นจีนเช่นเดียวกับรัสเซีย โดยก่อนหน้านี้สหรัฐระบุว่า กำลังพิจารณาปิดกั้นการเข้าถึงระบบเงินดอลลาร์สหรัฐสำหรับบุคคล ธุรกิจ และสถาบันทางการเงินของจีนที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียงและการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมในฮ่องกง

สิ่งเหล่านี้ทำให้หลายฝ่ายเกรงว่า สหรัฐอาจขยายผลไปสู่การแซงก์ชั่นเศรษฐกิจจีนทุกภาคส่วน แต่สถานการณ์ก็มีความพลิกผัน ล่าสุดประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้ประกาศชะลอการลงโทษดังกล่าวออกไปก่อน เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อการเจรจาการค้ากับจีน

แต่ทว่าสถานการณ์ในปัจจุบันได้สั่นคลอนเสถียรภาพของเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ทำให้มีโอกาสสูงที่สหรัฐอาจจำเป็นต้องพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์เข้าสู่ระบบเพิ่มเติม จนทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลกระทบไปถึงจีน ที่ปัจจุบันถือครองการลงทุนในต่างประเทศสูงกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่อิงเงินดอลลาร์สหรัฐและจีนยังถือครองตั๋วเงินคลังของรัฐบาลสหรัฐถึง 1.07 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย

ฟาง ซิงไห่ชี้ว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ “การทำให้เงินหยวนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล จะช่วยให้จีนรับมือกับแรงกดดันทางการเงินจากภายนอกได้”

โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จีนพยายามผลักดันเงินหยวนให้เป็นสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศ แต่ปัจจุบัน “เงินหยวน” ยังคงมีสัดส่วนการใช้ระดับโลกที่ 1.79% อยู่ลำดับที่ 6 ของสกุลเงินทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้คนทั่วโลกยังจับตาไปที่การแยกตัวทางการเงินระหว่าง 2 มหาอำนาจ หลังจากสหรัฐเตรียมออกกฎตรวจสอบควบคุมบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ ส่งผลให้ธุรกิจเหล่านั้นย้ายฐานการลงทุนมายังฮ่องกง ไม่ว่าจะเป็นเน็ตอีส เจดีดอตคอม และอาลีบาบา เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

ความเคลื่อนไหวของภาคธุรกิจจีน รวมกับการกระชับอำนาจของรัฐบาลจีนในฮ่องกง อาจเป็นแรงหนุนให้การผลักดัน “เงินหยวน” ของจีน เพื่อรองรับผลกระทบหากสหรัฐใช้มาตรการแซงก์ชั่น อาจทวีความเข้มข้นมากขึ้นในเร็ววันนี้