เหตุระเบิด 2 ครั้งติดกันในฟิลิปปินส์ มีผู้เสียชีวิต 9 ราย

ภาพจาก AFP

มีผู้เสียชีวิต 9 ราย เป็นทหาร 5 นาย และ พลเรือน 4 ราย จากเหตุโจมตีเมืองทางใต้ของฟิลิปปินส์ ซึ่งเคยเกิดเหตุระเบิดรุนแรงเมื่อปีที่แล้ว

วันที่ 24 สิงหาคม 2563 สำนักข่าวอัลจาซีร่า รายงานว่า มีทหารอย่างน้อย 5 ราย และ พลเรือนอีก 4 นาย เสียชีวิต ขณะที่อีกหลายคนได้รับบาดเจ็บ หลังเกิดเหตุระเบิด 2 ครั้ง ที่เมืองโจโล ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์

“ริชาร์ด กอร์ดอน” หัวหน้ากาชาดฟิลิปปินส์ กล่าวว่า เหตุระเบิดครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อช่วง 16.00 น.ตามเวลาในฟิลิปปินส์ หรือประมาณ 15.00 น.ตามเวลาประเทศไทย ที่เมืองหลวงของจังหวัดซูลู ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของฟิลิปปินส์

“กอร์ดอน” เผยอีกว่า หลังเกิดเหตุระเบิดครั้งแรก เจ้าหน้าที่พบจักรยานยนต์ติดตั้งระเบิดแสวงเครื่อง ใกล้กับรถบรรทุกทหาร

เจ้าหน้าที่จึงได้ปิดล้อมพื้นที่เกิดเหตุ และ ระหว่างนั้นได้เกิดเหตุระเบิดครั้งที่ 2 จึงเป็นสาเหตุให้เจ้าหน้าที่หลายนายได้รับบาดเจ็บ

ตามรายงานระบุว่า ทหารอย่างน้อย 17 นาย ได้รับบาดเจ็บ จากการระเบิดทั้ง 2 ครั้ง

ข้อมูลจากสื่อท้องถิ่น ระบุว่า เหตุระเบิดครั้งล่าสุด เกิดขึ้นไม่ไกลจากจุดที่เกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 ราย ใกล้กับโบสถ์คาทอลิก เมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว

สื่อท้องถิ่นยังได้เผยแพร่ภาพซากปรักหักพังและร่างผู้เสียชีวิต นอนอยู่บนถนน ไม่ห่างจากรถบรรทุกทหาร

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้

“พล.ต.อ.อาร์ชีย์ ฟรานซิสโก แกมโบอา” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติฟิลิปปินส์ ออกแถลงการณ์ระบุว่า เขาได้สั่งให้มีการสืบสวนเหตุการณ์นี้แล้ว พร้อมกับระบุว่า ผู้ก่อเหตุจะต้องรับผิดชอบต่อเหตุอาชญากรรมดังกล่าว

ทั้งนี้ จังหวัดซูลูเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มอาบูไซยาฟ กลุ่มติดอาวุธซึ่งเป็นพันธมิตรกับกลุ่มไอเอส

กลุ่มอาบูไซยาฟได้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องอิสรภาพในพื้นที่เกาะมินดาเนามาเป็นเวลานาน โดยอ้างว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นของบรรพบุรุษตั้งแต่ก่อนตกเป็นอาณานิคมของสเปน

ที่ผ่านมา กลุ่มดังกล่าวมักก่อเหตุลักพาตัว, ปล้นสะดม และ ลอบวางระเบิด

เมื่อเดือนมิถุนายน ทหาร 4 นาย ถูกสังหารในเมืองโจโล หลังเผชิญหน้ากับตำรวจ ซึ่งได้สร้างความตึงเครียดระหว่าง 2 หน่วยงานของรัฐบาลฟิลิปปินส์

มีรายงานว่าทหารกลุ่มดังกล่าวกำลังไล่ล่ากลุ่มติดอาวุธ ก่อนจะปะทะเข้ากับตำรวจ จนเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น