เศรษฐีเอเชียเก็บเงินสดเพิ่ม 40% เตรียมลงทุนหลังโควิด-19

เศรษฐีเอเชีย เตรียมลงทุนหลังโควิด-19

ดีบีเอสแบงก์ชี้ เศรษฐีเอเชียเพิ่มสัดส่วนถือเงินสด 40% รอโอกาสลงทุนในตลาดเงินและหุ้นนอกตลาดหลังพิษโควิด-19 จบ

วันที่ 8 กันยายน 2563 เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์รายงานว่า จากสถานการณ์แพร่ะระบาดของโควิด-19 ทำให้เศรษฐีในภูมิภาคเอเชีย เพิ่มการถือครองเงินสดมากขึ้น “โจเซฟ พูน” กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าดีบีเอส ไพรเวท แบงก์กิ้ง ระบุว่าหลังเกิดโควิด-19 กลุ่มลูกค้านักลงทุนรายใหญ่ของธนาคารได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองเงินสดมาอยู่ที่ประมาณ 40% ของพอร์ต จากประมาณ 30% ก่อนการระบาด

“การที่ลูกค้าถือเงินสดมากกว่าปกติเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมาก และลูกค้าที่มีทรัพย์สินอย่างน้อย 30 ล้านสิงคโปร์ดอลลาร์ เชื่อว่าจะมีโอกาสของตลาดที่ดีในอนาคต หลังผลกระทบจากโควิด-19 หายไป”

โจเชฟ พูนระบุว่า ลูกค้ากลุ่มนี้สนใจการลงทุนสินทรัพย์ทางการเงิน , ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และธุรกิจโลจิสติกส์ และบางคนวางแผนที่จะลงทุนต่อในธุรกิจส่วนตัว หรือขยายธุรกิจร่วมกับพันธมิตร โดยข้อมูลจากบลูมเบิร์กรายงานว่าหุ้นนอกตลาด (private equity firm) ถือเงินสดอยู่ถึง 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเกิดโควิด-19 หยุดการตกลงซื้อขายหุ้น

อย่างไรก็ตามการถือเงินสดอยู่จำนวนมาก ก็อาจทำให้ลูกค้าพลาดโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นหลังจากช่วงที่ผ่านมาดัชนี เอ็มเอสซีไอ เอซี เอเชีย แปซิฟิก ที่เพิ่มขึ้น 43% จากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

สำหรับในส่วนของดีบีเอส ไพรเวท แบงก์กิ้ง ช่วง 6 เดือนแรกปีนี้พบว่ามีเงินไหลเข้าสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า เป็น 5,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งเงินทุนเหล่านี้มาจากหลายแห่งรวมถึงสำนักงานครอบครัวในสหรัฐอเมริกายุโรปและที่อื่น ๆ ที่มองว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายที่แข็งแรง

ทั้งนี้ดีบีเอส ไพรเวท แบงก์กิ้ง ให้บริการลูกค้าที่มีทรัพย์สินอย่างน้อย 5 ล้านสิงคโปร์ดอลลาร์ (ประมาณ 115 ล้านบาท) ณสิ้นเดือนมิถุนายน มีอัตราการเติบโตจากปีที่แล้ว 7% สำหรับตลาดนอกประเทศสิงคโปร์ กลุ่มดีบีเอส ไพรเวท แบงก์กิ้ง มีเป้าหมายที่จะเพิ่มทรัพย์สิน 2 เท่าตัว รวมทั้งในประเทศไทยก็มีเป้าหมายจะเพิ่มขึ้นเป็น 8 พันล้านสิงคโปร์ดอลลาร์ภายในปี ค.ศ. 2023