“จง ชานชาน” เจ้าพ่อน้ำดื่ม จากนักข่าว…สู่มหาเศรษฐีจีน

ชื่อของ “จง ชานชาน” (Zhong Shanshan) กลายเป็นที่กล่าวถึงในโลกออนไลน์ทั้งของจีนและทั่วโลก เมื่อเขาติดอันดับ 3 “มหาเศรษฐี” ของจีนทันที หลังจากนำบริษัท “หนงฟู่ สปริง” (Nongfu Spring) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เมื่อ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา และภายใน 3 สัปดาห์ก็ขึ้นเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของจีน ด้วยราคาหุ้นที่พุ่งกระฉูด แซงหน้าเจ้าของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ อย่าง “แจ็ก หม่า” แห่งอาลีบาบา และ “โพนี่ หม่า” เจ้าของเทนเซนต์ ถือเป็นการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของธุรกิจอุปโภคบริโภคของจีน

“หนงฟู่ สปริง” เป็นยักษ์ใหญ่ในตลาดน้ำดื่ม โดยปี 2019 มีรายได้ 2.4 หมื่นล้านหยวน (1.1 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 17.3% จากปีก่อนหน้า บริษัทวิจัยตลาดฟรอสท์แอนด์ซัลลิแวนระบุว่า หากรวมผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อย่างชา กาแฟ และน้ำผลไม้ ทำให้หนงฟู่ สปริง ถือเป็นบริษัทครอบครองตลาด “เครื่องดื่มบรรจุขวด” ที่ใหญ่ที่สุดในจีน ตั้งแต่ปี 2012-2019

“จง ชานชาน” วัย 65 ปี ก่อนจะมาทำธุรกิจน้ำดื่ม เริ่มต้นจากชีวิตนักข่าวและทำธุรกิจหนังสือพิมพ์ รวมทั้งทำฟาร์มปลูกเห็ด แต่ทั้งสองกิจการไปไม่รอด ทำให้จงหันไปบุกเบิกธุรกิจสินค้าเพื่อสุขภาพ ประเภทอาหารเสริมในปี 1993 ซึ่งทำเงินได้ดี แต่เนื่องจากมีการใช้อวัยวะของเต่ามาเป็นส่วนประกอบ ซึ่งรัฐบาลจีนเริ่มเคร่งครัดกฎหมายคุ้มครองทางด้านนี้มากจึงต้องเลิกกิจการ กระทั่งมาเริ่มต้นธุรกิจน้ำแร่ธรรมชาติบรรจุขวด “หนงฟู่ สปริง” ในปี 1996 ที่มีขวดฝาสีแดงเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักจนถึงปัจจุบัน

“หนงฟู่ สปริง” ชูจุดเด่นเรื่องแหล่งน้ำจาก “เทาแซนด์ ไอส์แลนด์ เลค” ในมณฑลเจ้อเจียง หนึ่งในแหล่งน้ำธรรมชาติที่ใหญ่และสะอาดที่สุดในจีน ขณะที่คู่แข่งในเวลานั้นส่วนใหญ่ใช้น้ำบาดาลที่ผ่านกระบวนการสารเคมี

ศูนย์วิจัยตลาด “ดัซซู คอนซัลติ้ง” ระบุว่า จุดขายหลักของน้ำดื่มหนงฟู่ฯ คือความสะอาดจากธรรมชาติ และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ การชูคุณสมบัติสองอย่างนี้ในสภาพตลาดที่ไม่เชื่อมั่นต่อความสะอาดของน้ำดื่มบรรจุขวดในท้องตลาด ทำให้หนงฟู่ สปริง กลายเป็นตัวเลือกและได้รับความนิยมในจีนเป็นอย่างมาก

ไฟแนนเชียล ไทม์รายงานว่า “จง” เลือกชูคุณสมบัติที่คู่แข่งไม่มีมาเป็นจุดขายหลัก รวมทั้งการทำแคมเปญโฆษณาทีวี ด้วยการสาธิตการใช้น้ำหนงฟู่ สปริง ทดลองกับพืชและสัตว์ เปรียบเทียบกับน้ำคู่แข่งที่ไม่ได้มาจากแหล่งธรรมชาติซึ่งมีปัญหาเรื่องการปนเปื้อน ซึ่งโฆษณานี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก และสามารถตีตลาดจีนได้อย่างดี

อย่างไรก็ดี การทดลองนี้ทำให้คู่แข่งทำเรื่องร้องเรียนกับคณะกรรมการอุตสาหกรรมและการค้าแห่งชาติจีน และที่สุด “หนงฟู่ สปริง” ต้องจ่ายค่าปรับข้อหา “โจมตีคู่แข่ง” ซึ่งในครั้งนั้น (ปี 2016) เจ้าพ่อน้ำดื่มให้สัมภาษณ์ว่า “กฎหมายล้าหลังของจีนที่ทำให้เขาแพ้คดีจนต้องจ่ายค่าปรับ เพราะถ้าไม่ได้มีการเปรียบเทียบสินค้าคู่แข่ง แล้วสินค้าจีนจะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ยังไง”

นอกจากกลยุทธ์การตลาดที่โดดเด่นแล้ว หนงฟู่ สปริง ยังมีกระบวนการผลิตและการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพทำให้สามารถได้กำไรมากกว่าคู่แข่งได้

โดย “จาง ยู” อดีตผู้อำนวยการหนงฟู่ สปริง กล่าวว่า บริษัทใช้โมเดล “revenue-sharing” เป็นส่วนแบ่งรายได้จากการขายสินค้าให้ร้านค้า ทำให้ผู้จัดจำหน่ายอยากขายสินค้าได้มากขึ้น โดยเมื่อปี 2019 หนงฟู่ฯมีกำไรขั้นต้น 60.9% ขณะที่บริษัท “เซโบน” (C”est bon) คู่แข่งเบอร์ 2 ที่บริหารโดยรัฐบาลจีนที่มีกำไรขั้นต้น 41%

ถึงแม้จะประสบความสำเร็จกับการทำธุรกิจน้ำดื่มอย่างสูง แต่นักวิเคราะห์หลายคนกังวลว่า อุปสรรคต่อไป คือ การวางระดับสินค้าให้มีราคาสูงขึ้น

และถึงแม้จะเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยม แต่กลุ่มเป้าหมายก็ไม่ได้มีกำลังซื้อมากขนาดนั้น เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำแร่ของหนงฟู่ สปริง อยู่ที่ขวดละ 2.7 หยวน (12.5 บาท) ขณะที่น้ำขวดทั่วไปในท้องตลาดขวดละ 1.5 หยวน (7 บาท)

นอกจากนี้ หนงฟู่ฯยังมีการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่าง “ชาไร้น้ำตาล” รวมถึงน้ำผลไม้, กาแฟสำเร็จรูป และโยเกิร์ตจากถั่วเหลือง

อนาคตของ “จง ชานชาน” กับบริษัท “หนงฟู่ สปริง” ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงต้องติดตามต่อไปว่า น้ำดื่มฝาแดงจะหนุนบัลลังก์มหาเศรษฐีอันดับ 1 ได้นานแค่ไหน