ชาวอเมริกัน 70 ล้านคน ลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ขณะที่ทรัมป์เรียกร้องไม่นับ “บัตรเลือกตั้ง” ทางไปรษณีย์ที่ส่งมาถึงหลังวันที่ 3 พ.ย. อ้างหวั่นเกิดปัญหาการโกง ขณะที่ฝั่งเดโมแครตมองว่า ทรัมป์กลัวแพ้โหวต
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่าเมื่อวันอังคาร (27 ต.ค.) ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” กล่าวว่า การนับคะแนน “บัตรเลือกตั้งไปรษณีย์” ที่ถูกส่งมาหลังวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะเกิดขึ้นวันที่ 3 พ.ย. นี้ “ไม่เหมาะสม” และไม่สนับสนุนให้คนลงคะแนนทางไปรษณีย์เนื่องจากกลัวว่า จะทำให้มีการโกงเกิดขึ้นได้
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- “ทอง” รับข่าวร้ายดันราคาขาขึ้น บาทอ่อนค่าจ่อทะลุ 37 บาท
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
ทรัมป์ระบุว่า “จะเป็นสิ่งที่ดี” หากประชาชนได้ทราบว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีภายในวันเลือกตั้ง” และมองว่าการต้องรอการนับคะแนนถึง 2 สัปดาห์ไม่เหมาะสมและควร “ผิดกฏหมาย”
นอกจากนี้ ทรัมป์กล่าวว่า ผู้คนสามารถโกงผ่านการโหวตทางไปรษณีย์ ซึ่งการกล่าวหานี้ทรัมป์ไม่ได้มีหลักฐานมาสนับสนุน และผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการเลือกตั้งผ่านไปรษณีย์เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการเลือกตั้งสหรัฐมาอย่างยาวนานและแทบไม่เคยมีการโกงเกิดขึ้น ซึ่งผลโหวต 1 ใน 4 ของการเลือกตั้งวาระที่แล้วก็มาจากการเลือกตั้งผ่านไปรษณีย์
รายงานข่าวระบุว่า ขณะนี้มีจำนวนคนที่เลือกตั้งผ่านไปรษณีย์ล่วงหน้ามากถึง 46 ล้านคน ซึ่งอาจจะใช้เวลาหลายวัน หรือหลายสัปดาห์ในการนับผลโหวต นอกจากนี้อาจมีบัตรเลือกตั้งไปรษณีย์ที่ไปไม่ถึงเขตภายในวันเลือกตั้ง ทำให้ไม่สามารถรายงานผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีภายในวันเลือกตั้งได้
อย่างไรก็ตาม พรรคเคโมแครตมองว่าเป็นกลยุทธ์ของทรัมป์ที่ไม่อยากให้นับผลโหวตบัตรเลือกตั้งไปรษณีย์ที่ส่งมาช้าเนื่องจากมีประชาชนสนับสนุน “เดโมแครต” ที่โหวตผ่านไปรษณีย์มากกว่าฝั่ง “รีพับลิกัน” ซึ่งเป็นเหตุจากการที่ประชาชนฝั่งเดโมแครตกลัวการระบาดของโรคโควิด-19 มากกว่า นำมาสู่การพยายามของทรัมป์ที่พยายามจะกำจัดโหวตจากอีกฝั่งให้ได้มากที่สุด
ทั้งนี้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2020 ได้มีประชาชนออกไปเลือกตั้งล่วงหน้า ทั้งการออกไปลงคะแนนที่จุดเลือกตั้งล่วงหน้าด้วยตนเอง และการโหวตผ่านไปรษณีย์มากถึง 70 ล้านคน มากสุดเป็นประวัติการณ์ โดยตัวเลขนี้เกินครึ่งของผู้ออกไปลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐทั้งหมดเมื่อปี 2016 เป็นผลมากจากที่ประชาชนกลัวว่าจะติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังระบาดหนักอยู่ในสหรัฐ
