ชีพจรเศรษฐกิจโลก นงนุช สิงหเดชะ
กรณีนาย สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ประกาศเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า จะไม่ต่ออายุโครงการปล่อยกู้ฉุกเฉินเพื่อบรรเทาผลกระทบจากไวรัสโควิด -19 โดยจะต้องสิ้นสุดภายในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ได้รับเสียงคัดค้านมากมายทั้งจากนักเศรษฐศาสตร์ ภาคธุรกิจ และเฟด เพราะเป็นการตัดสินใจที่ไม่เหมาะสมและไม่มีเหตุผล ไม่มีสิ่งใดจะมาอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผล นอกเสียจากแรงจูงใจด้านการเมือง ภายหลังจากทรัมป์แพ้เลือกตั้ง
โครงการปล่อยกู้ฉุกเฉินที่นายมนูชินประกาศว่าจะไม่ต่ออายุนั้น เป็นโครงการที่สภาคองเกรสได้อนุมัติเงินส่วนหนึ่ง 4.54 แสนล้านดอลลาร์ จากงบฯบรรเทาผลกระทบจากโควิดรวมทั้งหมด 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ ให้กับกระทรวงการคลังเพื่อสนับสนุนโครงการปล่อยกู้ฉุกเฉินของเฟด เพื่อปล่อยกู้ให้กับธุรกิจที่กำลังประสบความลำบาก รวมทั้งรัฐบาลท้องถิ่น เมื่อเดือนมีนาคม หลังจากที่เกิดไวรัสโควิดใหม่ ๆ
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
งบประมาณบรรเทาผลกระทบโควิด 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ดังกล่าว อยู่ภายใต้รัฐบัญญัติชื่อ The Coronavirus Aid, Relief, and Economic Security Act เรียกย่อ ๆว่า CARES Act (คนละอย่างกับ CARE Act ซึ่งเป็นกฎหมายประกันสุขภาพยุครัฐบาลยุคบารัก โอบามา) ผ่านสภาคองเกรสไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคมปีนี้ ซึ่งประกอบด้วยมาตรการหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือการปล่อยกู้ฉุกเฉินแก่ภาคธุรกิจ
การประกาศไม่ต่ออายุโครงการดังกล่าวของนายมนูชิน เกิดขึ้นในขณะที่หลายพื้นที่ของสหรัฐต้องกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มข้นเป็นบางส่วนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด หลังจากมีจำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ยรอบ 7 วัน ไต่ขึ้นสูงกว่า 1.6 แสนรายต่อวัน สูงกว่าสัปดาห์ก่อนหน้า 26%
คาร์ล ไวน์เบิร์ก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไฮ ฟรีเควนซี อีโคโนมิกส์ ระบุว่า การตัดสินใจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ จะลดความสามารถของเฟดลงอย่างมากในการค้ำจุนระบบการเงิน เป็นการตัดสินใจที่ไม่มีเหตุผลด้านเศรษฐกิจเพราะยังมีชาวอเมริกันหลายล้านคนตกงาน และยังต้องอาศัยเงินช่วยเหลือจากภาครัฐในการดำรงชีวิต ส่วนดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจก็อ่อนแอลง และมีแนวโน้มว่าจะต้องมีการชัตดาวน์ต่อไปเพื่อสกัดไวรัส
“ผมไม่คิดว่ามันมีเหตุผลที่ดีในการที่จะอธิบายว่าทำไมพวกเขาอยากตัดโครงการเหล่านี้ทิ้งในเวลาเช่นนี้ ดังนั้นมันก็น่าจะเป็นเรื่องการเมืองมากกว่าไม่ใช่หรือ”
ไวน์เบิร์กชี้ว่า การยุติโครงการปล่อยกู้ฉุกเฉินดังกล่าวที่ใช้เงินจาก CARES Act ซึ่งคิดเป็นเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ ของวงเงิน 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ เปรียบไปแล้วก็เหมือนการริบเรือช่วยชีวิตไปจากเรือยักษ์ไททานิก โดยหนึ่งในปัญหาขณะนี้ก็คือมันไม่มีเรือช่วยชีวิตอย่างเพียงพออยู่บนเรือไททานิก และเมื่อไททานิกออกจากท่าไปแล้วก็ไม่มีการนำเรือช่วยชีวิตเหล่านี้ออกมาใช้เลย และก็กลายเป็นว่าเมื่อจำเป็นต้องใช้มันขึ้นมา เรือช่วยชีวิตก็ไม่อยู่ที่นั่นเสียแล้ว
“นี่คือเรือช่วยชีวิตสำหรับเศรษฐกิจ นี่คือสถานที่สำหรับบริษัทต่าง ๆ จะไปหา เมื่อพวกเขาไม่มีที่อื่นให้ไปไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดกลางหรือเล็ก บริษัทเล็ก ๆ เหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงตลาดทุนได้เหมือนบริษัทขนาดใหญ่”
การประกาศของนายมนูชิน ทำให้เฟดออกมาแสดงปฏิกิริยาอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น โดยเฟดระบุว่า อยากให้โครงการช่วยเหลือฉุกเฉินต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นช่วงแรก ๆ หลังจากมีไวรัสโควิด ยังคงอยู่ต่อไปครบถ้วนเช่นเดิม เพื่อทำหน้าที่หนุนหลังในยามที่เศรษฐกิจยังคงตึงเครียดและเปราะบาง
ส่วนสภาหอการค้าอเมริกันชี้ว่ามันเป็นการมัดมือ ว่าที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ก่อนเวลาอันควร และไม่จำเป็นอีกด้วย เช่นเดียวกับนายรอน ไวเดน วุฒิสมาชิกรัฐโอเรกอน จากพรรคเดโมแครต ชี้ว่า การยกเลิกมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจที่จำเป็นอย่างยิ่งออกไป และสวนทางกับความปรารถนาของเฟดเช่นนี้ คือการก่อวินาศกรรมเศรษฐกิจชัด ๆ เป็นความพยายามที่จะสร้างความเจ็บปวดทางการเมืองให้กับ ว่าที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน
แหล่งข่าวระบุว่า รัฐมนตรีคลังคนใหม่ภายใต้รัฐบาลโจ ไบเดน อาจเลือกที่จะพลิกฟื้นโครงการปล่อยกู้ฉุกเฉินขึ้นมาใหม่ ด้วยการทำข้อตกลงใหม่กับเฟด