แรงงานเมียนมา 6 หมื่นคน รอมาทำงานที่ไทย องค์กรแรงงานชี้

ภาพแรงงานเมียนมา จากเพจเฟซบุ๊ก สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสมุทรสาคร

สื่อเมียนมา รายงานว่าเครือข่ายสิทธิแรงงานเมียนมา เรียกร้องให้รัฐบาลเจรจากับทางการไทยอนุญาตให้แรงงานชาวเมียนราว 60,000 คน เข้ามาทำงาน 

วันที่ 21 ธันวาคม 2563 ข่าวสดรายงานอ้างข้อมูลจาก เมียนมา ไทม์ส ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่ผ่านมา ระบุว่า นาย อู เส่ง เตย์ ผู้อำนวยการเครือข่ายสิทธิแรงงานเมียนมา (MWRN) หนึ่งในองค์กรแรงงานที่ใหญ่ที่สุดของเมียนมาได้กล่าวว่า หากรัฐบาลเมียนมาไม่สามารถโน้มน้าวรัฐบาลไทย ให้อนุญาตให้แรงงานข้ามชาติเข้ามาในราชอาณาจักรได้ ทางเมียนมาก็ควรคืนเงินค่าใช้จ่ายของแรงงานในการดำเนินการตามสัญญาการจ้างงงาน

“คนงานที่สมัครในหน่วยงานได้ทำสัญญากับนายจ้าง และกว่า 60,000 ราย ยังรอคอยการเดินทางเข้าทำงานในประเทศไทย” นาย อู เส่ง เตย์ กล่าว และขณะนี้แรงงานเหล่านี้กำลังได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่ได้กู้ยืมเงินเพื่อมาจ่ายเป็นค่านายหน้า และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งมีดอกเบี้ย แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถชำระหนี้ได้ เนื่องจากยังไม่มีงานทำ

ทั้งทางองค์กรเครือข่ายสิทธิแรงงานเมียนมา ยังระบุว่า หากรัฐบาลเมียนมาไม่สามารถโน้มน้าวให้รัฐบาลไทยอนุญาตให้แรงงานเมียนมากว่า 60,000 คนกลุ่มนี้ เดินทางเข้าทำงานในไทยได้ ทางการเมียนมาก็ควรจะต้องหาเงินมาจ่ายคืนแก่แรงงานกลุ่มนี้ เพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น

และยังกล่าวว่า ในปัจจุบันแรงงานเมียนมาในประเทศไทยก็ยังไม่ได้รับเงินเดือน ทำให้พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนไปทำงานอื่นได้ ในขณะที่บางรายถูกฉ้อโกงโดยนายหน้าเรื่องวีซ่า และใบอนุญาตทำงาน แทบไม่มีการพัฒนาเลย สิ่งหนึ่งที่โชคดีคือรัฐบาลไทยอนุญาตให้คนงานที่วีซ่าหมดอายุขยายระยะเวลาได้อีก 2 ปี” อู เส่ง เตย์ กล่าว

เมียนมา ไทม์ส รายงานด้วยว่า ขณะนี้เมียนมามีแรงงานของตนมากกว่า 4 ล้านคน ที่ออกไปทำงานในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และในจำนวนนี้ มีมากกว่า 2 ล้านคน ที่ทำงานในประเทศไทย และยังมีชาวเมียนมาอีกหลายพันคน ที่กำลังพยายามเดินทางออกจากประเทศ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเพื่อหาโอกาสในการจ้างงานในต่างประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจในเมียนมายังคงอยู่ในสภาวะซบเซา

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเมียนมา กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤต มียอดผู้ติดเชื้อรวมกว่า 1.16 แสนราย รักษาหายแล้ว 9.5 หมื่นราย และมีผู้เสียชีวิตกว่า 2.4 พันคน จากจำนวนประชากรกว่า 53 ล้านคน