จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่กลับมารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หลายบริษัทยักษ์ใหญ่รอบโลก ต้องคงโมเดลการทำงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อปีที่ผ่านมา และอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คงอยู่ต่อไปแบบถาวร แม้ทุกอย่างจะกลับมาปกติถือเป็นหนึ่งใน new normal ของโลกหลังยุคโควิด-19
บิสซิเนส อินไซเดอร์ รายงานว่า ปัจจุบันมีบริษัทธุรกิจยักษ์ใหญ่จำนวนมาก ได้ตัดสินใจคงรูปแบบการทำงาน “work from home” เพื่อลดความเสี่ยงของโรคระบาดไปจนถึงช่วงกลางปี 2021 โดยเฉพาะบริษัทยักษ์เทคโนโลยี ตั้งแต่ “กูเกิล” ที่ประกาศขยายเวลาให้พนักงานเวิร์กฟรอมโฮมจนถึง ก.ย. 2021
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
ขณะที่ “แอปเปิล อิงก์” “อเมซอน” “อูเบอร์ เทคโนโลยีส์ อิงก์” รวมถึงธุรกิจการเงินอย่าง “อเมริกันเอ็กซ์เพรส” ประกาศให้พนักงานทำงานที่บ้านจนถึงเดือน มิ.ย. 2021 ส่วน “มาสเตอร์การ์ด” ให้พนักงานเวิร์กฟรอมโฮมจนกว่าจะสามารถควบคุมไวรัสได้
หลายบริษัทจะให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศ เมื่อทุกคนเข้าถึง “วัคซีนป้องกันโควิด” ซึ่งหลาย ๆ ประเทศที่พัฒนาแล้วคาดว่าจะสามารถฉีดวัคซีนให้กับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้ช่วงกลางปี 2021 จึงเป็นเหตุผลที่หลายบริษัทเริ่มมีแผนให้พนักงานกลับมาทำงานช่วงนั้น
ขณะเดียวกันหลายบริษัทก็ใช้โอกาสในช่วงเวลาแห่งวิกฤต ทดลองปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น “ซันดาร์ พิชัย” ซีอีโอของอัลฟาเบต บริษัทแม่ของกูเกิล ประกาศให้พนักงานทำงานจากที่บ้านจนถึงเดือน ก.ย. 2021 และหลังจากนั้นจะให้พนักงานเข้าออฟฟิศเพียง 3 วันต่อสัปดาห์ ส่วนวันอื่น ๆ ก็ให้ทำงานในรูปแบบ “เวิร์กฟรอมโฮม” ตามนโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น “ซันดาร์ พิชัย” ระบุว่า ต้องการทดลองวิธีการทำงานใหม่ ๆ ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อตามหาวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ โดยที่ยังคงการทำงานร่วมกันเป็นทีม และความเป็นอยู่ของพนักงานดีขึ้น
นอกจากนี้ บางบริษัทอย่าง “เฟซบุ๊ก” และ “ทวิตเตอร์” ประกาศเตรียมเปลี่ยนวิถีการทำงานไปตลอดกาล ทั้งเรื่อง “เวลา” และ “สถานที่” ในการทำงานของบริษัทในแบบ work from anywhere
“มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” ซีอีโอเฟซบุ๊ก ระบุว่า การระบาดของโควิด-19 ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตในหลายรูปแบบมาก หนึ่งในนั้นคือ “วิธีการทำงาน” โดยหลังจากนี้ การทำงานโดยไม่ต้องมาเจอกันที่ออฟฟิศ (remote working) จะยังคงเป็นเทรนด์ต่อไป เช่นเดียวกับ “แจ็ก ดอร์ซีย์” ซีอีโอทวิตเตอร์ กล่าวว่า ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา พนักงานของบริษัทได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถทำงานที่บ้านได้ ซึ่งถ้าพนักงานอยู่ในบทบาทและสถานการณ์ที่สามารถเวิร์กฟรอมโฮมได้และอยากทำไปตลอดกาล ทางบริษัทก็สามารถสนับสนุนได้
ขณะที่ “ทิม คุก” ซีอีโอบริษัทแอปเปิล กล่าวว่า แม้ยังไม่มีอะไรมาแทนการทำงานรูปแบบ “เจอหน้ากัน” (face-to-face) แต่ก็ต้องเรียนรู้ถึงรูปแบบการทำงานนอกเหนือจากในออฟฟิศ โดยที่สามารถบรรลุผลลัพธ์เดิมได้ โดยที่ต้องเรียนรู้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ ขณะที่ยังต้องเผชิญปัญหาโรคระบาด โดยที่ต้องการรักษาทุกอย่างที่ดีของแอปเปิล พร้อมกับการบูรณาการ การเปลี่ยนแปลงในอนาคต
นอกจากนี้บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคอย่าง “ยูนิลีเวอร์” ก็เริ่มการทดลองปรับให้พนักงานที่นิวซีแลนด์ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 1 ปี เพื่อทดลองถึงประสิทธิภาพในการทำงาน หากผลการทดลองออกมาสำเร็จ อาจจะปรับใช้โมเดลการทำงานนี้ปรับโมเดลการทำงานของยูนิลีเวอร์ทั่วโลก รวมถึงบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าญี่ปุ่น “ฮิตาชิ” มุ่งมั่นที่จะให้พนักงาน 70% ของทั้งหมดเวิร์กฟรอมโฮมตลอดไป
ทั้งนี้นอกจากการปรับรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น เพื่อหวังเพิ่มศักยภาพการทำงานของพนักงานแล้ว ผลพลอยได้อีกด้านหนึ่งก็คือสามารถ “ลดต้นทุน” เรื่องออฟฟิศและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จำนวนมหาศาลไปด้วยนั่นเอง