สหรัฐ ‘เปิดศึก’ จีน คำสั่งสุดท้ายทรัมป์

 

ถึงแม้ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐจะหมดวาระตำแหน่งผู้นำประเทศในอีกไม่กี่วันข้างหน้า(20ม.ค.2564) แต่ทรัมป์ยังคงทำ “สงครามการค้า” กับจีนต่อไป จากคำสั่งพิเศษ (executive order) ว่าด้วยการไม่ให้ชาวอเมริกันลงทุนในธุรกิจที่กองทัพจีนเป็นเจ้าของหรืออยู่ในการควบคุมของทางการจีน

จากคำสั่งพิเศษนี้ “ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก” (NYSE) แถลงการณ์ว่า จะเพิกถอน 3 ผู้ให้บริการมือถือยักษ์ใหญ่ของจีนออกจากตลาดหุ้น ได้แก่ “ไชน่า โมบาย” “ไชน่า เทเลคอม” และ “ไชน่า ยูนิคอม ฮ่องกง”

แม้ว่าช่วงสิ้นปีตลาดหลักทรัพย์ฯ ยืนยันว่าจะเพิกถอน 3 บริษัทดังกล่าว แต่ก็เปลี่ยนใจระงับการเพิกถอน ก่อนที่จะ ”กลับคำ” อิีกรอบโดยแถลงการณ์ว่าจะลบบริษัทเหล่านี้ออกจากตลาดหุ้นสหรัฐเช่นเดิม

นอกจากทั้งสามบริษัทแล้ว รัฐบาลทรัมป์ระบุว่ามีอีก 35 บริษัท ซึ่งทางการจีนมีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่อนุญาตให้ชาวอเมริกันเข้าไปลงทุน อย่างบริษัทน้ำมันแห่งชาติจีน “ไชน่า แนชั่นแนล ออฟชอร์ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น” (CNOOC) และบริษัท “เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเชอริ่ง อินเตอร์แนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น” (SMIC) ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของจีน

หลังจากตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กประกาศยืนยัน เพิกถอนบริษัทกลุ่มนี้ออกจากตลาด สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของอย่าง “โกลด์แมน แซคส์” “เจพีมอร์แกนเชส” และ “มอร์แกน สแตนลีย์” ก็ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จะขอถอนผลิตภัณฑ์ประเภท “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง” (structured products) จำนวน 500 ตัวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ 3 บริษัทผู้ให้บริการมือถือจีน ออกจากตลาดหุ้นตามคำสั่งพิเศษ

นอกจากนี้ทรัมป์ได้เซ็นรับรองคำสั่งพิเศษให้สหรัฐแบนการทำธุรกรรมการเงินผ่านแอปพลิเคชั่นจากจีนทั้งหมด 8 แอปพลิเคชั่น จากข้อกล่าวหาว่าแอปจีนจะเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้บริการในสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งรวมถึง “อาลีเพย์” ของแอนท์ กรุ๊ป และ “คิวคิว วอลเลท” และ “วีแชทเพย์” ของเทนเซ็นท์ ที่เข้าข่ายโดนระงับด้วย โดยรัฐบาลได้มอบหมายให้หน่วยกำกับดูแลกำหนดรายละเอียดขอบเขตการทำธุรกรรมกับแอปพลิเคชั่นเหล่านี้ภายใน 45 วันหลังออกคำสั่ง

นิวยอร์กไทมส์รายงานว่าหลังจากวันที่ 11 ม.ค. 2564 นักลงทุนอเมริกันจะไม่สามารถซื้อหุ้นบริษัทเหล่านี้ได้อีกต่อไป และต้องขายหุ้นที่ถืออยู่ในมือทั้งหมดภายในเดือน พ.ย. 2564

แหล่งข่าวระบุว่าคำสั่งพิเศษของทรัมป์เหมือนเป็นฟืนที่ทำให้ไฟลุกเพิ่ม จุดชนวนความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีน เพียงไม่กี่วันก่อนทรัมป์หมดวาระ และทำให้เกิดความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรของบริษัทจีนในอนาคต เพราะเป็นครั้งแรกที่สหรัฐพยายามจะถอดบริษัทจีน ออกจากตลาดหุ้นเนื่องจากความขัดแย้ง “ทางการเมือง” ระหว่างมหาอำนาจทั้งสอง และการเปลี่ยนการตัดสินใจไปมา ก็แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งภายในรัฐบาลว่าด้วยระดับมาตรการคุมเข้มต่อบริษัทจีน

ซึ่ง “สตีเวน มนูชิน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ตอนแรกแสดงจุดยืนสนับสนุนบริษัทจีนอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐ ขณะที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐไม่เห็นด้วย ทำให้มนูชินต้องหารือกับประธานตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กอีกครั้ง และเปลี่ยนจุดยืนให้ถอดบริษัทเหล่านี้ออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ

ขณะที่ “หวา ชุนหยิง” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่าการกดขี่บริษัทจีนจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทจีนน้อยมาก แต่เป็นสหรัฐมากกว่าที่จะเสียภาพลักษณ์ และตลาดทุนสหรัฐเองที่จะประสบปัญหาจากคำสั่งพิเศษนี้

อย่างไรก็ตาม “เอดเวิร์ด โมยา” นักวิเคราะห์บริษัทที่ปรึกษาลงทุน “โออันดา คอร์ปอเรชั่น” กล่าวว่านักลงทุนไม่ควรแปลกใจที่บริษัทเหล่านี้ถูกถอดจากตลาดหุ้นสหรัฐ เพราะเป็นสิ่งที่ทรัมป์พูดถึงตั้งแต่ส.ค. ปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ หลัง “โจ ไบเดน” ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐรับช่วงต่อจากทรัมป์ เพราะไบเดนสามารถระงับคำสั่งพิเศษของทรัมป์ได้