ถึงแม้เมียนมาจะไม่ได้สนใจกับความกดดันจากต่างชาติ แต่สุดท้ายแล้วประเทศยังต้องพึ่งต่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจอยู่ดี
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 สำนักข่าวไชน่า นิวส์ เอเชีย รายงาน โดยอ้างคำกล่าวของ “ทอม แอนดรูวส์” เจ้าหน้าที่พิเศษของสหประชาชาติ ด้านเสรีภาพในการแสดงความเห็นเมียนมา ที่กล่าวว่า การที่ต่างชาติ “คว่ำบาตร” เมียนมาทางด้านเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะ “ได้ผล” เนื่องจากเคยได้ผลมาก่อนหน้านี้แล้ว
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- ราคาทองวันนี้ (17 เม.ย. 67) ปรับ 8 ครั้ง ขึ้น 450 บาท รูปพรรณบาทละ 42,150 บาท
- ตรวจหวย ใบตรวจหวย ผลรางวัล สลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน 2567
แอนดรูวส์ระบุว่า ถึงแม้กองทัพจะไม่ได้สนใจการกดดันจากต่างชาติ สุดท้ายแล้วประเทศยังต้องการมีส่วนร่วมกับเศรษฐกิจของโลก และยังระบุว่ารัฐบาลกองทัพของเมียนมา ต้องการเงิน ต้องการความรุ่งเรือง และไม่ได้อยากกลับไปเป็นประเทศที่ถูกตัดขาดจากโลกเหมือนแต่ก่อน
ต่างประเทศได้เริ่มมีมาตรการเพื่อเข้ามาต่อต้านการรัฐประหารประเทศ อย่าง “จาซินดา อาร์เดิร์น” นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ แถลงการณ์ว่าจะยกเลิกการติดต่อกับผู้บัญชาการระดับสูงเมียนมาทั้งหมด และจะทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อต่อต้านการรัฐประหารครั้งนี้
และ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งขู่ว่าจะคว่ำบาตรเมียนมาอีกครั้ง หลังกองทัพเมียนมาก่อรัฐประหาร และเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ออกมากดดันให้กองทัพเมียนสละอำนาจ
ทั้งนี้ เริ่มมีบริษัทที่ได้ระงับหรือยุติกิจการภายในเมียนมา อย่าง “คิริน” บริษัทเครื่องดื่มรายใหญ่ในญี่ปุ่น ซึ่งประกาศเลิกร่วมทุนกับบริษัทในเมียนมา หลังพบเจ้าของเป็นทหารเกี่ยวพันกับรัฐประหาร
ประชาชนเมียนมาหลายหมื่นคนได้ลงถนนประท้วง ต่อต้านการรัฐประหาร เรียกร้องให้คืนอำนาจ ซึ่งการฉีดน้ำและยิงกระสุนยางใส่ผู้ประท้วงได้สร้างความกังวลต่อแอนดรูวส์ อย่างไรก็ดี เขาเน้นย้ำว่าต่างชาติต้องแสดงจุดยืน “รับไม่ได้” กับการกระทำเช่นนี้ และพิสูจน์ให้เห็นว่ากองทัพต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด