ขณะที่กระแสความสนใจการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซีอย่าง “บิตคอยน์” ร้อนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
อีกด้านธนาคารกลางทั่วโลกก็เริ่มมีการพัฒนา “เงินดิจิทัล” และเมื่อปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา สหรัฐก็ประกาศชัดเจน โดย “เจเน็ต เยลเลน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) พูดถึงการศึกษา “ดิจิทัลดอลลาร์” หรือเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency หรือ CBDC) ซึ่งมีนักวิเคราะห์อธิบายว่า สัญญาณดังกล่าวเหมือนการ “เริ่มจุดชนวน” ของรัฐบาลสหรัฐ เริ่มมาสนใจสกุลเงินดิจิทัล
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- “พลังงานไฮโดรเจน” ถูกกว่าน้ำมัน 60% ไทยเริ่มศึกษาแต่ เยอรมัน กำลังจะเลิกใช้
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม เงินดิจิทัลนี้จะไม่เหมือนกับคริปโทเคอร์เรนซีอย่าง “บิตคอยน์” ซึ่งธนาคารกลางไม่มีอำนาจควบคุม เป็นระบบกระจายอำนาจที่ผู้ใช้ทั่วโลกร่วมกันจัดการ แต่สำหรับ “เงินดิจิทัลของธนาคารกลาง” หรือ CBDC ไม่ใช่การออกเงินสกุลใหม่ แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบของเงินที่ใช้แปลงเป็น “ดิจิทัล” ภายใต้การควบคุมของธนาคารกลาง
เยลเลนให้สัมภาษณ์ว่า “เริ่มเข้าท่าแล้วที่จะให้ธนาคารกลางเข้าศึกษาสกุลเงินดิจิทัล” พร้อมระบุว่า ขณะนี้ธนาคารกลางสหรัฐที่รัฐบอสตัน กำลังทำงานกับนักวิจัยจากสถาบันเอ็มไอที เพื่อศึกษาถึงคุณสมบัติของสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งเยลเลนมองว่าตอนนี้ประชาชนกำลังมีปัญหาด้านการเข้าถึงบริการทางการเงิน ชาวอเมริกันหลายคนยังไม่สามารถเข้าถึงระบบการจ่ายเงินต่าง ๆ ถึงขั้นที่บางคนยังไม่มีบัญชีธนาคาร ซึ่ง “ดิจิทัลดอลลาร์” จะสามารถเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้ และนำมาสู่การทำธุรกรรมทางการเงินที่รวดเร็ว ปลอดภัย และมีค่าใช้จ่ายถูกลง
ขณะที่พาวเวลล์ชี้แจงต่อสภาคองเกรสว่า ดิจิทัลดอลลาร์เป็น “โปรเจ็กต์ที่เฟดได้ให้ความสำคัญอย่างมาก” รวมทั้งระบุว่า มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเพื่อคิดค้นเทคโนโลยี และกำลังอยู่ในขั้นตอนการปรึกษาในวงกว้างกับสาธารณชน และหน่วยงานภาครัฐว่าควรจะมีการใช้งาน “ดิจิทัลดอลลาร์” หรือไม่
พร้อมทั้งกล่าวว่า สหรัฐไม่จำเป็นต้องเป็นชาติแรกของโลกที่มีสกุลเงินดิจิทัล ต้องการทำออกมาให้ถูกต้องมากกว่า
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาดิจิทัลดอลลาร์ของเฟด ถือว่าตามหลัง “ดิจิทัลหยวน” ของธนาคารกลางจีน (PBOC) อย่างมาก ซีเอ็นบีซีรายงานว่า การพัฒนาเงินดิจิทัลของธนาคารกลางจีนรุดหน้าไปมาก โดยช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนให้ความสนใจกับการพัฒนา “ดิจิทัลหยวน” อย่างมาก และล่าสุดหน่วยงานภายในธนาคารกลางจีนได้ร่วมมือกับ “สวิฟต์” หน่วยงานกำหนดมาตรฐานการโอนเงินระหว่างประเทศ ซึ่งทั้ง 2 องค์กรได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัท “ไฟแนนซ์ เกตเวย์ อินฟอร์เมชั่น เซอร์วิส ลิมิเต็ด” จดทะเบียนในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา ด้วยเงินทุนจัดตั้ง 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยบริษัทนี้จะทำหน้าที่การพัฒนาระบบการบูรณาการข้อมูล ศึกษาการประมวลผลข้อมูล และเป็นที่ปรึกษาทางเทคโนโลยี ซึ่งแหล่งข่าวระบุว่า บริษัทนี้ถูกจัดตั้งมาเพื่อที่จะศึกษาพัฒนาดิจิทัลหยวน ให้สามารถรองรับการใช้งานข้ามประเทศได้ และเป็นช่องทางการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน จีนเพิ่งได้ทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศมอริเชียส เกาะนอกชายฝั่งแอฟริกา ซึ่งเวิลด์ อีโคโนมิกส์ ฟอรั่ม ระบุว่า นอกจากเรื่องการค้าเสรี จีนจะเข้าไปช่วยแบ่งปันความเชี่ยวชาญด้านฟินเทค และนวัตกรรมทางการเงินกับประเทศ ซึ่งขณะที่จีนกำลังพัฒนาดิจิทัลหยวน มอริเชียสอาจเป็นประเทศที่ได้รับอานิสงส์ ได้ทดลองใช้งานสกุลดิจิทัลของธนาคารกลางนี้ด้วย
นอกจากนี้ที่ผ่านมา จีนได้เริ่มมีการทดลองใช้งานดิจิทัลหยวนจริง ๆ กับประชาชนแล้วที่เมืองเสิ่นเจิ้นกับซูโจว และเมื่อช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา กรุงปักกิ่งได้แจกดิจิทัลหยวนเป็นอั่งเปาให้กับประชาชนผู้โชคดี 50,000 คน คนละ 200 หยวน (ประมาณ 930 บาท) มูลค่ารวม 10 ล้านหยวน เพื่อใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีน
และล่าสุดเมืองเฉิงตูก็เพิ่งเริ่มการทดลองแจกดิจิทัลหยวนให้กับผู้โชคดี 200,000 คน คนละ 170-240 หยวน (ประมาณ 800-1,125 บาท) ซึ่งโดยรวมมีมูลค่าทั้งสิ้น 40.2 ล้านหยวน (188 ล้านบาท) ให้สามารถไปใช้จ่ายได้ช่วงวันที่ 3-19 มีนาคมนี้ โดยผู้ที่ได้รับดิจิทัลหยวนจะสามารถใช้ซื้อสินค้าตามร้านค้าที่กำหนดได้ รวมถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ “เจดี.คอม”
แหล่งข่าวระบุว่า จีนมีแผนจะเปิดตัว “ดิจิทัลหยวน” อย่างเป็นทางการในงาน “โอลิมปิกฤดูหนาว” ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง ช่วงปลายปี 2022 โดยมีเป้าหมายที่จะให้นักกีฬา และผู้ร่วมงานทุกคนมีดิจิทัลหยวนสำหรับการใช้จ่ายทุกอย่าง เช่น การซื้อสินค้า จ่ายค่ารถโดยสาร ไปจนถึงค่าที่พัก ถือเป็นการใช้ “ดิจิทัลหยวน” เต็มรูปแบบ แต่ขณะเดียวกันก็มีมุมมองว่าอาจเกิดกระแส “ดิจิทัลบอยคอต” ไม่ยอมใช้ดิจิทัลหยวนของรัฐบาลจีนก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี หากมองเป็นการแข่งขันการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางระหว่าง 2 มหาอำนาจเศรษฐกิจโลก เรียกว่าขณะนี้จีนนำไปไกลมาก