กระแสเกลียดชัง “คนเอเชีย” เบื้องลึกปมปัญหาในสหรัฐ

การระบาดของโควิด-19 ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ปัญหา “เฮตไครม” (hate crime) เป็น กระแสความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่ชาวเอเชียในสหรัฐอเมริกา มีสถิติถูกทำร้ายเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน

“แลร์รี่ บาโกว์” ระบุว่า ชาวเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก ต่างเป็น “แพะรับบาป” รับโทษว่าทำให้เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งอ้างเหตุผลจากความเกลียดกลัวต่างชาติ (xenophobia) ว่าเป็นภัยต่อประเทศ

“โจนาธาน กรีนแบลตต์” ประธานสมาพันธ์ต่อต้านการดูหมิ่น กล่าวว่า เมื่อปีที่ผ่านมา หลังจากที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ต่างโทษคนจีนว่านำโรคโควิด-19 มายังประเทศ เป็นส่วนที่ทำให้มีเหตุการณ์ทำร้ายชาวเอเชีย-อเมริกัน เพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน กล่าวหลังเหตุการณ์ยิงกราดที่สปารัฐจอร์เจีย ซึ่งทำให้มีผู้หญิงเชื้อชาติเอเชียเสียชีวิต 6 ราย ว่า “เชื้อโรคนี้เรียกว่าโคโรน่าไวรัส” ซึ่งเป็นการแก้คำพูดของทรัมป์ ที่มักจะใช้คำว่า “ไชน่าไวรัส” 
เมื่อพูดถึงโรคนี้ สะท้อนถึงการกล่าวโทษว่าเป็นโรคนี้ของคนจีน

จากรายงานของ “STOP AAPI Hate” หรือ “องค์กรยุติความเกลียดชังต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก” เมื่อปี 2020 คนเชื้อสายเอเชีย ไม่ว่าจะมีสัญชาติสหรัฐหรือไม่ ตกเป็นเป้าของการถูกคุกคามหรือทำร้าย 
เนื่องจากความเกลียดชังด้านเชื้อชาติหรือสีผิวในสหรัฐมากกว่า 3,795 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี 2019 ซึ่งอยู่ที่ 2,600 ครั้ง

ทั้งนี้ “เฮตไครม” เป็นการมุ่งทำร้าย ทั้งผ่านคำพูดหรือการกระทำเหล่านี้ ถือเป็นการกระทำผิดทางอาญาที่ผู้กระทำมีเหตุจูงใจจากอคติ หรือความเกลียดชังต่อคนกลุ่มหนึ่งที่มีเอกลักษณ์บางอย่างแตกต่างไปจากตน 
ทางด้านศาสนา เชื้อชาติ ภาษา ผิวสี และรสนิยมทางเพศ

แชนเนล นิวส์ เอเชีย รายงานว่า เมื่อปีที่ผ่านมา แม้มีการรายงานถึง “เฮตไครม” ต่อคนเชื้อชาติเอเชียในสหรัฐเพิ่มมากขึ้น แต่ต้นตอของความเกลียดชังนี้มีมาตั้งนานแล้ว

รายงานระบุว่า ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติเอเชีย ส่วนหนึ่งมาจากการ “อิจฉา” ความสำเร็จของชาวเอเชียภายในสังคมสหรัฐอเมริกา แม้เชื้อชาติเอเชียจะเป็นเพียง 5.9%ของชาวอเมริกันทั้งหมด แต่สัดส่วนของชาวเอเชีย-อเมริกัน ที่เข้ามหาวิทยาลัยหรือทำงาน “ชั้นนำ” ของสหรัฐอยู่ในระดับที่สูงมาก

ปัจจัยนี้ทำให้คนเอเชียถูกมองว่าเป็น “คนต่างชาติ” เข้ามาแย่งงานชาวอเมริกัน “แคที่ ปาร์ค ฮ่อง” นักกวีเอเชีย-อเมริกัน ชื่อดัง กล่าวว่า คนเอเชียถูกมองว่าเป็นคนต่างชาติที่มาแย่งที่ชาวอเมริกันมาโดยตลอด แม้จะเป็นคนอเมริกันก็ตาม

ความสำเร็จของชาวเอเชียนำมาสู่มุมมองของชาวอเมริกัน ที่ว่าชาวเอเชียมักจะมีการกระทำที่ “น่าสงสัย” อยู่ตลอดเวลา ว่ายังจงรักภักดีต่อประเทศของเชื้อชาติตนเอง เสมือนว่าเข้ามาสหรัฐ เพื่อเป็นสายสืบส่งข้อมูล
กลับไปประเทศบ้านเกิดเพื่อมา “ทำลาย” สหรัฐ

นอกจากนี้ชนชาติอื่น ๆ ในสหรัฐ ไม่ชอบคนเอเชีย เนื่องจากไม่สามารถเข้าสังคม ประสบความสำเร็จ หรือทำตาม “ฝัน” เท่ากับกลุ่มคนเชื้อชาติเอเชีย เพราะชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ อย่างกลุ่มเชื้อชาติแอฟริกัน และละติน 
ยังดิ้นรนเพื่ออยู่รอดในสังคมสหรัฐ

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยพูว์ปีที่ผ่านมา ระบุว่า ชาวเอเชีย-อเมริกัน 3 ใน 10 ถูกเหยียดเชื้อชาติด้วยคำพูดและการกระทำต่าง ๆ หลังจากเกิดโรคระบาด ซึ่งมากกว่ากลุ่มเชื้อชาติแอฟริกัน และละติน และมักจะโดนคำถามว่า “มาจากประเทศอะไร” และ “เอาโรคติดมาไหม”

ขณะเดียวกัน สื่อก็เป็นส่วนหนึ่งที่จุดชนวนความรุนแรงนี้ สำนักข่าวสหรัฐส่วนใหญ่มักจะรายงานว่าจีน เป็นประเทศที่เป็นภัยต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ ซึ่งประกอบกับการระบาดของโรคโควิดทำให้โดนการกระทำ “เฮตไครม” เหล่านี้

นอกจากนี้ เหตุการณ์กราดยิงที่รัฐจอร์เจีย เบื้องหลังสาเหตุของมือปืนนั้นมาจากความ “คลั่งไคล้ทางเพศ” ของสังคมที่มีต่อผู้หญิงชาวเอเชีย-อเมริกัน ผู้หญิงเชื้อชาติเอเชียมักถูกมองว่าอยู่ต่ำกว่าชาวอเมริกัน และมักจะสมยอม ทำให้ตกเป็นเป้าการทำร้ายได้ง่าย “รัสเซล จึง” อาจารย์เอเชีย-อเมริกันศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งรัฐซานฟรานซิสโก และผู้ก่อตั้งองค์กร “STOP AAPI Hate” กล่าวว่า การกระทำเฮตไครมต่อกลุ่มหญิงเอเชีย-อเมริกัน ซึ่งมีจำนวนมากขึ้น มีความเชื่อมโยงในประเด็นที่ผู้หญิงถูกมองว่าต่ำกว่า ถูกเป็นเป้าได้ง่ายกว่า ซึ่งสัดส่วนที่ผู้หญิงถูกทำร้ายจากเมื่อปีที่ผ่านมามีมากถึง 68%

อย่างไรก็ดี กระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์สหรัฐจัดสรรงบฯ 49.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการดูแลผู้ที่ถูกทำร้าย มุ่งเฉพาะกลุ่มชาวเอเชีย-อเมริกัน และหมู่เกาะแปซิฟิก และ รัฐบาลสหรัฐกำชับออกคำสั่งให้หน่วยงานรัฐบาลยับยั้งความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อชาวเอเชีย ซึ่งต้องคอยดูว่าปัญหาระหว่างเชื้อชาตินี้จะมีทางออกหรือไม่