ประเทศร่ำรวย รวมตัว วางแผน ‘ปฏิบัติการกู้โลก’

ผู้นำจากประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก หรือ G7 ซึ่งประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี แคนาดา ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร (ยูเค) ได้มีการจัดประชุมเมื่อวันที่ 11-13 มิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อหารือและวางแผน “ปฏิบัติการกอบกู้โลก” ด้านต่าง ๆ ที่จะมุ่งช่วยฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจ รวมถึงยกระดับทางสังคมให้แก่ทุกประเทศทั่วโลก

แชนเนล นิวส์ เอเชีย รายงานว่า ผู้นำ G7 แต่ละประเทศได้ร่วมกันตกลงว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดต่อเศรษฐกิจโลก ณ เวลานี้ คือ “การต่อสู้กับโควิด-19” และได้ร่วมตกลงกันว่าจะบริจาควัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั้งหมด 1 พันล้านโดสให้กับทั่วโลกเพื่อต่อสู้กับโรคระบาด

ล่าสุดทางการสหรัฐอเมริการะบุว่า จะบริจาควัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัท “ไฟเซอร์ อิงค์” ทั้งหมด 500 ล้านโดสให้กับ 92 ประเทศทั่วโลกภายในปีหน้า ส่วนสหราชอาณาจักร จะบริจาควัคซีนส่วนเกิน 100 ล้านโดสให้ประเทศต่าง ๆ ภายในปีหน้าเช่นกัน โดยจะบริจาค 5 ล้านโดสแรกในเดือนกันยายนนี้

และที่ประชุมยังได้ตกลงกันว่าจะออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันสถานการณ์โรคระบาดทั่วโลกเหมือนช่วงปีที่ผ่านมาอีกครั้งประกอบด้วย การลดเวลาสำหรับการพัฒนาและการออกใบอนุญาตผลิตวัคซีน, การค้นหาวิธีรักษาโรค รวมถึงการวินิจฉัยของโรคในอนาคต โดยให้กระบวนการทั้งหมดใช้ระยะเวลาไม่เกิน 100 วัน รวมถึงการขยายเครือข่ายสอดส่องเฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาด และเพิ่มศักยภาพการวิจัยข้อมูลทางพันธุกรรม รวมทั้งสนับสนุนการปฏิรูปองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐระบุว่า ต้องการเปิดโครงการที่สนับสนุนการก่อสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศรายได้ต่ำหรือปานกลาง ภายใต้ชื่อ “บิลด์ แบ็ก เบตเตอร์ เวิลด์” (Build Back Better World หรือ B3W) ซึ่งมีลักษณะเดียวกับโครงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 (Belt and Road Initiative หรือ BRI) ของจีน ซึ่งเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างถนน รางรถไฟ และท่าเรือ เชื่อมต่อประเทศต่าง ๆ

อย่างไรก็ดี โครงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 ของจีน ถูกมองว่าเป็นการสร้างหนี้ให้หลายประเทศ และโครงการก่อสร้างต่าง ๆ เป็นการบีบบังคับประเทศรายได้ต่ำ ติดหนี้กับทางการจีน โดยไม่มีวันที่จะจ่ายหนี้ได้หมด ขณะที่ทางผู้นำ G7 ได้สัญญาว่า โครงการ B3W จะเป็นการ “ร่วมมือระหว่างประเทศ” ที่เหมาะสม มาตรฐานสูง และมีความโปร่งใสต่อทุกฝ่าย

แต่ทว่า ไบเดนและผู้นำ G7 คนอื่น ๆ ยังไม่ได้ระบุรายละเอียดที่ชัดเจนว่า จะร่วมกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโลกได้มากแค่ไหน และจะใช้เวลานานเท่าใด แต่รายงานข่าวระบุว่า ตอนนี้ถือเป็นเวลาที่ชัดเจนสำหรับ “ชาติตะวันตก” ที่ต้องพยายามโค่นอิทธิพลของจีนต่อโลก โดยเริ่มปูพรมสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขยายอิทธิพลของชาติตะวันตก

นอกจากนี้ “บอริส จอห์นสัน” นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร (ยูเค) กล่าวว่า ผู้นำ G7 มุ่งที่จะปฏิรูปอุตสาหกรรมต่าง ๆ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ให้สอดคล้องกับภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น ด้วยเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม จะช่วยสร้างอาชีพ และทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตในระยะยาว

ทั้งนี้ ผู้นำจี 7 ยืนยันว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือครึ่งหนึ่งจากระดับที่ใช้เมื่อปี 2010 ภายในปี 2030 และเริ่มดำเนินกระบวนการยกเลิกการใช้งานพลังงานถ่านหินโดยไม่ได้มีกระบวนการคัดกรองก่อนสิ้นปีนี้ และยังระบุด้วยว่า รัฐบาลจะยกเลิกการสนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานถ่านหินในต่างประเทศ และเริ่มยกเลิกการใช้งานรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอีกด้วย