เมื่อราคาน้ำมันดิบโลก อยู่ในกำมือ “โอเปกพลัส”

แท่นเจาะน้ำมัน
คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

ตอนนี้ราคาน้ำมันดิบโลกขยับขึ้นไปค้างอยู่เหนือระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จนทำให้เกิดเสียงพูดหนาหูขึ้นตามมาว่า ท่ามกลางสถานการณ์แวดล้อมที่เอื้ออำนวยเช่นนี้ มีโอกาสที่ราคาน้ำมันดิบโลกจะขยับขึ้นไปอยู่ในระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอีกครั้งหลังจากที่เคยทำสถิติไว้เมื่อปี 2014

มีปัจจัยหลายอย่างมากที่สนับสนุนแนวความคิดดังกล่าว ตั้งแต่คาดการณ์กันว่าความต้องการน้ำมันจะขยับเพิ่มสูงขึ้นแบบพรวดพราดภายในระยะเวลา 6 เดือนข้างหน้า

คนในวงการน้ำมันเชื่อว่า ช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ปริมาณบริโภคน้ำมันของโลกจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับการบริโภคน้ำมันดิบเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา จากนั้นก็จะทะยานต่อไปจนกลายเป็นสถิติความต้องการน้ำมันสูงสุดต่อปีของโลกในปี 2022

เหตุผลก็คือ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเศรษฐกิจทั่วโลกจะฟื้นตัวเมื่อวัคซีนป้องกันโควิด-19 ช่วยให้มาตรการยับยั้งการระบาดที่เคยเข้มงวดผ่อนคลายลงหรือไม่ก็ยุติลง การเดินทางท่องเที่ยวเริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง กลายเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ความต้องการเชื้อเพลิงและปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นพรวดพราด

ในเวลาเดียวกัน ปัจจัยสำคัญด้าน “ซัพพลาย” ก็ช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบโลกขยับสูงขึ้น เมื่อผลผลิตน้ำมันส่วนใหญ่ยังคงตกอยู่ในการควบคุมของกลุ่มพันธมิตร “โอเปกพลัส” อย่างมั่นคง และยังเลือกที่จะคงระดับซัพพลายน้ำมันเอาไว้ให้ตึงตัวอยู่อย่างนั้นในปีนี้ แม้จะคาดว่าดีมานด์จะขยับขึ้นสู่ระดับ 96 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงปลายปีก็ตาม

เจ้าชายอับดุลลาซิซ บิน ซัลมาน รัฐมนตรีพลังงานซาอุดีอาระเบีย ส่งสัญญาณเตือนมาแล้วมากครั้งว่า โอเปกพลัสจะยังไม่ผลีผลามผ่อนคลายการควบคุมซัพพลายน้ำมันของตนเอง

“เราต้องได้เห็นดีมานด์ก่อนที่พวกคุณจะได้เห็นซัพพลาย” เจ้าชายอับดุลลาซิซ บอกไว้บนเวทีเสวนาที่รัสเซียในเดือนมิถุนายนนี้เอง

นักวิเคราะห์ทั่วไปเชื่อว่า “โอเปกพลัส” จะยังคงกักผลผลิตน้ำมันราว 5.8 ล้านบาร์เรลต่อวันเอาไว้ เพื่อดึงให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นตลอดปีนี้ทั้งปี

ด้วยเหตุที่ว่า หากปล่อยปริมาณการผลิตที่กักเอาไว้ออกมาเร็วเกินไป ขณะที่การเจรจาทำความตกลงระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตกประสบผลสำเร็จ ปริมาณน้ำมันจากอิหร่านจะออกมาสมทบในตลาด และราคาน้ำมันดิบโลกจะดิ่งลงทันที

รายงานของ “วูด แมคเคนซี” บริษัทวิจัยด้านพลังงานระดับโลก ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คาดการณ์ไว้ว่า โอเปกพลัสต้องการให้ระดับราคาน้ำมันคงอยู่ในระดับสูงเพื่อ “กู้คืน” บางส่วนของรายได้ที่สูญเสียไปตลอดปีที่แล้วทั้งปี ซึ่งประเมินกันว่าอยู่ที่ราว 335,000 ล้านดอลลาร์

วูด แมคเคนซี ชี้ว่า ที่ระดับราคา 69-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะทำให้รายรับจากน้ำมันของโอเปกพลัสถีบตัวขึ้นไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับเมื่อปี 2019 ได้ในขณะที่ปล่อยน้ำมันสู่ตลาดในปริมาณที่น้อยลงกว่าเดิม 10%

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ราคาน้ำมันดิบโลกจะทะลุไปจนถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

เหตุผลก็คือ โอเปกพลัสก็จำเป็นต้องระมัดระวังไม่ให้การดำเนินการของตนเองย้อนกลับมาเป็นอันตรายต่อตัวเองในอนาคต

ราคาน้ำมันดิบที่สูงเกินไปจะส่งผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลกชะลอลง เช่นเดียวกับที่หากราคาสูงเกินไปและต่อเนื่องยาวนานเกินไป ก็จะกลายเป็นแรงจูงใจให้แหล่งผลิตน้ำมันนอกเหนือจากโอเปกพลัสหันกลับมาผลิตน้ำมันอีกครั้ง

แอนน์-หลุยส์ ฮิทเทิล รองประธานแม็กโคร ออยล์สของ วูด แมคเคนซีเชื่อว่า ถ้าน้ำมันดิบราคาสูงต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2020 จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก และจะจุดชนวนให้เกิดการผลิตน้ำมันหรือการเร่งรัดพลังงานทดแทนขึ้นใหม่อีกครั้ง

“รัสเซลล์ ฮาร์ดี” ซีอีโอของวิโทล บริษัทเทรดดิ้งด้านพลังงานและโภคภัณฑ์สัญชาติดัตช์ เตือนคนที่คาดหวังราคาน้ำมันที่ 100 ดอลลาร์ในปีนี้ว่า ให้ระวังข้อเท็จจริงที่ว่าเรากำลังอยู่ในตลาดที่ค่อนข้างจะเป็น “ตลาดเทียม” ในเวลานี้ แม้ว่าระดับราคาที่ว่าจะ “เป็นไปได้” ก็ตาม

นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งเชื่อว่า ราคาน้ำมันดิบ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นไปได้ แต่อาจไม่ใช่ในปีนี้ แต่จะเกิดจากปัญหากำลังการผลิตที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อความต้องการน้ำมันที่จะถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนเพื่อการผลิตน้ำมันใหม่ ๆ ลดลงต่ำมาก ขณะที่ความต้องการน้ำมันอาจไม่ได้ลดลงมากอย่างที่คาดการณ์ถึงราวปี 2025 ราคาน้ำมันดิบจึงจะถีบตัวสู่ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล !