คอคัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจ ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
นักเศรษฐศาสตร์หลายต่อหลายคนยืนยันว่า การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ไม่เคยเป็นกิจกรรมที่ “ทำกำไร”ให้กับมหานคร หรือชาติที่รับเป็นเจ้าภาพอย่างที่เชื่อกันมาก่อน
นับตั้งแต่ปี 1960 ประเทศเจ้าภาพส่วนใหญ่จะขาดทุนยับเยินด้วยกันทั้งสิ้น เพราะงบประมาณในการจัดการแข่งขันมักบานปลายขึ้นเป็นเท่าตัว หรือมากกว่า โดยผลการศึกษาของมหาวิทยาลัย
ออกซ์ฟอร์ดระบุไว้ว่า ชาติเจ้าภาพทุกรายต้องเผชิญกับสถานการณ์งบประมาณบานปลาย โดยเฉลี่ยราว 172%
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
แต่ไม่เคยมีชาติเจ้าภาพไหนที่ถูกระบุว่า จะขาดทุนยับเยิน “บักโกรก” เท่ากับ “กรุงโตเกียว” ประเทศญี่ปุ่น ที่กำลังเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 อยู่ในเวลานี้
นักวิชาการบางคนถึงกับระบุว่า โอลิมปิกเกมส์ หนนี้คือ หายนะทางการเงิน สำหรับญี่ปุ่นโดยแท้
เมื่อตอนที่ญี่ปุ่นจัดทำงบประมาณเพื่อขอเป็นเจ้าภาพ และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) เมื่อปี 2013 นั้น ญี่ปุ่นกำหนดวงเงินในการจัดการแข่งขันทั้งหมดไว้แค่ 7,500 ล้านดอลลาร์
แต่พอดำเนินการจริง ทั้งการจัดสร้างสนามแข่งขัน, สิ่งอำนวยความสะดวก สาธารณูปโภคต่าง ๆ เรื่อยไปจนถึงการว่าจ้างเจ้าหน้าที่ และการเตรียมการด้านบันเทิง-วัฒนธรรมทั้งหลาย งบประมาณในการจัดโอลิมปิกบานปลายไปกว่าเท่าตัวเป็น 15,400 ล้านดอลลาร์
และเมื่อหน่วยงานตรวจสอบบัญชีของรัฐบาล เข้าไปตรวจสอบก็พบว่า ค่าใช้จ่ายจัดการแข่งขันอาจจะสูงเกินกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์ด้วยซ้ำไป หรือเกือบ 1 ใน 3 ของงบประมาณประเทศไทยทั้งปี เมื่อปี 2019 (87,700 ล้านดอลลาร์)
การเลื่อนการแข่งขันจากปี 2020 มาเป็นปีนี้ ทำให้งบฯจัดการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้นอีก 2,800 ล้านดอลลาร์ ส่วนหนึ่งเกิดจากต้องไล่เจรจาเงื่อนไขสัญญาใหม่ทั้งหมด บวกกับค่าใช้จ่ายสำหรับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต้องเคร่งครัดชนิด “พลาดไม่ได้”
เงินจัดการแข่งขันพวกนี้มาจากไหน ราว 55 % คือ งบประมาณแผ่นดิน ที่มาจากภาษี ส่วนที่เหลืออีกราว 6,700 ล้านดอลลาร์ คือ เงินสมทบจากภาคเอกชน, รายได้สปอนเซอร์, การจำหน่ายตั๋วเข้าชม และงบฯสมทบจากไอโอซี
ที่หนักหนาสาหัสที่สุดก็คือ โอลิมปิกเกมส์ 2020 ของญี่ปุ่น กลับกลายเป็นโอลิมปิกเกมส์ ที่ “ไม่มีคนดู” คณะเจ้าหน้าที่และนักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขัน ถูกจำกัดลงให้เหลือน้อยที่สุด และถูกจำกัดความเคลื่อนไหวให้ลดน้อยลงด้วย
ศาสตราจารย์คัทสึฮิโร มิยาโมโตะ นักวิชาการกิตติคุณของมหาวิทยาลัยคันไซ เคยประเมินไว้ว่า การจัดโอลิมปิกโดยไม่มีคนดูนั้น จะทำให้ญี่ปุ่นสูญเสียรายได้ที่พึงได้รับไปอย่างน้อยที่สุด 2.4 ล้านล้านเยน หรือราว 21,772 ล้านดอลลาร์
โดยรายได้ที่สูญเสียส่วนใหญ่ เป็นรายได้ที่เกี่ยวกับการแข่งขัน ตั้งแต่ตั๋วเข้าชม ไปจนถึงการจับจ่ายของนักกีฬา ครอบครัวและกองเชียร์ ฯลฯ เป็นรายได้ที่เคยคาดว่าจะได้จะหายไปมากถึง 90% ของรายได้ที่ประเมินไว้
ถัดมา การบริโภคของครัวเรือนญี่ปุ่นที่เกิดจากความกระตือรือร้นกับมหกรรมกีฬาที่จะเกิดขึ้นในประเทศก็จะหดหายตามไปด้วย ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจากการโปรโมตสินค้า และการแสดงเชิงวัฒนธรรม ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการแข่งขันก็จะลดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
ความต้องการที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวไม่ต้องพูดถึง หายไปจนหมด โอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันหลงเหลือเพียงนิดหน่อย
การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬา “โอลิมปิกเกมส์” นั้นส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจในทางลบต่อเจ้าภาพ ชนิดที่ทำให้หลาย ๆ ชาติซึ่งเคยคิดขอเป็นเจ้าภาพต้อง “คิดใหม่” เลิกล้มความตั้งใจมานักต่อนักแล้ว
หลังจากปี 2013 ญี่ปุ่นได้รับเป็นเจ้าภาพ (โอลิมปิก 2020) พอปี 2014 มี 4 เมืองขอถอนตัวจากการขอเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2022 ซึ่งจีนก็ได้รับไป และต่อมาในการชิงเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน 2024 ก็มีอีก 3 ชาติถอนตัว ทำให้ “กรุงปารีส” ได้เป็นเจ้าภาพไป พร้อมกับมีการ “มอบหมาย” ให้คู่แข่งที่เหลือ คือ “นครลอสแองเจลิส” สหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าภาพปี 2028 โดยอัตโนมัติ
ไม่ต้องมีการแข่งขันกันขอเป็นเจ้าภาพกันอีกแล้ว