อาเซียนอ่วมโควิด ‘เดลต้า’ ทุบฐานผลิต-พลาดโอกาสฟื้นเศรษฐกิจ

การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ส่งผลให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างต้องเผชิญกับความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ไม่สามารถควบคุมได้อีกครั้ง ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทั่วโลกเริ่มกลับมาฟื้นตัว แต่อาเซียนอาจพลาดโอกาสพลิกฟื้นเศรษฐกิจครั้งสำคัญไปอย่างน่าเสียดาย

เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์รายงานว่า ปัจจุบันสถานการณ์ใน “อาเซียน” กำลังวิกฤต จากความรุนแรงของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อในภูมิภาคพุ่งขึ้นถึง 41% ในช่วงกลางเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อสะสมในภูมิภาครวมกว่า 37 ล้านคน และ “อินโดนีเซีย” ก้าวขึ้นมามีผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากบราซิล

เช่นเดียวกันกับอีกหลายประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น ทำให้ต้องกลับมาใช้มาตรการควบคุมโรคระบาดอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็น ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ส่งผลให้เศรษฐกิจต้องหยุดชะงักอีกครั้ง โดยเฉพาะภาคการผลิตและส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการปิดโรงงาน เช่น โรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของเวียดนาม ที่ต้องประกาศใช้มาตรการคุมเข้ม และยังประกาศเคอร์ฟิวในศูนย์กลางเศรษฐกิจอย่าง “นครโฮจิมินห์” หลังจากที่ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว คือ “ซัมซุง” ที่ต้องปิดศูนย์การผลิต “ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ซีอี คอมเพล็กซ์” ในเวียดนาม หลังพบผู้ติดเชื้อกว่า 750 คน เช่นเดียวกับผู้ผลิตจีนอีกจำนวนมากที่ย้ายฐานผลิตมายังเวียดนาม กำลังได้รับความเสียหายจากการหยุดชะงักของโรงงานในเวียดนาม

สถานการณ์ดังกล่าวคล้ายคลึงกับในไทย และฟิลิปปินส์ ส่วนโรงงานในมาเลเซียอย่าง “เอปสัน” ผู้ผลิต พรินเตอร์ และ “ไทโย” ผู้ผลิตคาพาซิเตอร์รายใหญ่ของญี่ปุ่น โรงงานยังสามารถเปิดดำเนินการต่อได้ ภายใต้การจำกัดจำนวนพนักงานไม่เกิน 60%

“ตูลี แมคคัลลี” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำเอเชียแปซิฟิก ของสโกเทียแบงก์ระบุว่า “ขณะนี้ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่กำลังกลับมาฟื้นตัว ดังนั้นความสามารถในการส่งออกของอาเซียนจะสามารถนำไปสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ แต่สถานการณ์ไวรัสในขณะนี้ทำให้โอกาสลดน้อยลง”

นอกจากนี้ การบริโภคในประเทศและภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจสำคัญของหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังคงไม่ฟื้นตัวส่งผลให้ความเสียหายทางเศรษฐกิจทวีความรุนแรงมากขึ้น เช่น สกุลเงินของหลายประเทศเริ่มอ่อนค่าลง ขณะที่หลายประเทศยังได้ปรับลดคาดการณ์จีดีพีปีนี้ลงอีกรอบ ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซียที่ปรับลดมาอยู่ที่ 3.7-4.5% ไทย 0-1.5% และฟิลิปปินส์อยู่ที่ 6-7%

ทั้งนี้ หนทางที่จะผ่านพ้นวิกฤตไปได้คือการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรจำนวนมากโดยเร็วที่สุด แต่ปัจจุบันอัตราการฉีดวัคซีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงอยู่ที่ 9% ของประชากร

“เซียน เฟนเนอร์” นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียของบริษัทวิจัยด้านเศรษฐกิจ ออกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ ระบุว่า “การฉีดวัคซีนที่ล่าช้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกเว้น สิงคโปร์ ทำให้คาดการณ์ได้ว่าการฟื้นตัวจะไม่สม่ำเสมอ และเสี่ยงที่จะใช้ระยะเวลามากขึ้นจากมาตรการควบคุมโรคต่าง ๆ ซึ่งความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจสร้างความเสียหายเป็นเวลานานจนกลายเป็นแผลเป็นทางเศรษฐกิจของภูมิภาค”