“แม็กกี้ แมคนีล” นักกีฬาว่ายน้ำชาวแคนาดาเชื้อสายจีน คว้าเหรียญทองจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้นโยบายลูกคนเดียวของจีนถูกพูดถึงในสื่อสังคมออนไลน์
วันที่ 27 กรกฎาคม 2564 เว็บไซต์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ รายงานว่า เด็กหญิงชาวจีนที่สามีภรรยาคู่หนึ่งรับไปเป็นลูกบุญธรรม สามารถคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้สำเร็จ ซึ่งเรื่องราวของเธอได้จุดชนวนให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ตามสื่อภายในจีน ต่อประเด็นนโยบายลูกคนเดียว ซึ่งปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
- BITE SIZE : ขึ้นค่าแรง 10 จังหวัด-ปรับเงินเดือนข้าราชการ เพิ่มขึ้นเท่าไร
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา “แม็กกี้ แมคนีล” ชาวแคนาดาที่เกิดในจีน กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก หลังจากครองตำแหน่งแชมป์โอลิมปิก โดยเฉือนเอาชนะ “จาง หยูเฟย” นักว่ายน้ำชาวจีน ในการแข่งขันว่ายน้ำท่าผีเสื้อระยะทาง 100 เมตร
โดย “จาง” ได้เหรียญเงินด้วยเวลา 55.64 วินาที ขณะที่แมคนีลทำเวลาน้อยกว่า 0.05 วินาที
View this post on Instagram
ตามรายงานของสื่อจีนระบุว่า แมคนีล ถูกพ่อแม่โดยสายเลือดของเธอทอดทิ้ง หลังจากให้กำเนิดเธอในเมืองจิ่วเจียง มณฑลเจียงซี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2543
หนึ่งปีต่อมา “ซูซาน แมคนีล” และ “เอ็ดเวิร์ด แมคนีล” ได้รับอุปการะเธอและน้องสาวจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าท้องถิ่น แล้วพาพวกเธอไปอยู่ที่แคนาดา
แมคนีลเริ่มว่ายน้ำเมื่อปี 2551 ก่อนกลายเป็นนักกีฬาดาวรุ่งในมหาวิทยาลัยมิชิแกน และเป็นเพื่อนร่วมทีมกับ “ชีวอน ฮอยฮี” นักกีฬาว่ายน้ำชาวฮ่องกงที่ร่วมการแข่งขันโอลิมปิก 2020 เช่นกัน
View this post on Instagram
ความสามารถของแมคนีลปรากฏเด่นชัดในการแข่งขันชิงแชมป์โลกที่เมืองกวางจู เกาหลีใต้ เมื่อปี 2562 โดยเธอสามารถโค่นแชมป์โลกอย่าง “ซาราห์ สโยสตรอม” ในการแข่งขันท่าผีเสื้อระยะทาง 100 เมตร คว้าเหรียญทองด้วยเวลา 55.83 วินาที
แชมป์โอลิมปิกอายุ 21 ปีผู้นี้ เป็นหนึ่งในเด็กจำนวนมากที่ถูกทิ้งในจีน ภายใต้นโยบายลูกคนเดียว ที่จีนได้ยกเลิกไปแล้ว
“ลองนึกภาพว่าถ้าเธอไม่ได้ถูกเลี้ยงดูจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือถ้าเธอไม่ได้ถูกพ่อแม่แท้ ๆ ทิ้งไป ตอนนี้เธอจะเป็นอย่างไร ?” นี่คือหนึ่งความเห็นในสื่อสังคมออนไลน์ เว่ยป๋อ (Weibo)
“การได้รับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมได้เปลี่ยนวงโคจรชีวิตของเธอไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเธอได้รับการดูแลและฝึกอบรมที่มีคุณภาพ”
“เธออาจจะลาออกจากโรงเรียน เพื่อสนับสนุนน้องชายของเธอ หากเธอยังอยู่ที่จีน”
นโยบายลูกคนเดียวของจีน
นโยบายลูกคนเดียวที่ดังกระฉ่อนของจีน ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 2523 ถูกนำมาใช้เป็นเวลานานกว่า 3 ทศวรรษ ก่อนที่จะผ่อนปรนเป็นนโยบายลูกสองคน เมื่อปี 2558
หลังจากนั้นจึงขยับเป็นนโยบายลูกสามคนในปี 2564 เพื่อรับมือกับวิกฤตด้านประชากร ที่จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่อัตราการเกิดต่ำที่สุด นับตั้งแต่เกิดทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ ระหว่างปี 2502-2505 ซึ่งเป็นช่วงที่จีนเผชิญความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียประชากรหลายสิบล้านคนจากความอดอยาก
ภายใต้นโยบายลูกคนเดียว หน่วยงานท้องถิ่นที่ต้องการบรรลุเป้าหมายด้านประชากร มักใช้มาตรการรุนแรง เช่น การบังคับทำแท้งและการทำหมัน โดยครอบครัวมักชอบเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง เฉพาะอย่างยิ่งในชนบทและพื้นที่เกษตรกรรม ส่งผลให้มีการทำแท้ง การรับเลี้ยงและการทอดทิ้ง ซึ่งทำให้เกิดความไม่สมดุลทางเพศครั้งใหญ่ในประเทศ
ครอบครัวที่ฝ่าฝืนนโยบายมีลูกคนเดียวหรือนโยบายมีลูกสองคน ต้องเสียค่าปรับจำนวนมาก และประสบความยากลำบากในการหางาน โดยเมื่อปี 2563 หน่วยงานท้องถิ่นในมณฑลเสฉวนได้ปรับเงินครอบครัวหนึ่งเป็นเงิน 718,080 หยวน หรือประมาณ 3.6 ล้านบาท (เทียบอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 27 ก.ค.64) เนื่องจากครอบครัวนี้มีลูกมากถึง 7 คน ตามรายงานของโกลบอลไทม์ส
ทั้งหมดนี้ทำให้ครอบครัวจำนวนมากต้องนำลูกสาววัยแบเบาะไปทิ้งไว้หน้าประตูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โรงเรียน หรือแม้แต่บนถนน ด้วยหวังว่าบ้านหรือครอบครัวอื่น ๆ จะรับเลี้ยงพวกเธอ
กระทั่งไตรมาส 1 ปี 2564 กระทรวงกิจการพลเรือนจีน รายงานว่า มีเด็กกำพร้าในจีนประมาณ 190,000 คน กระจายอยู่ตามสถานสงเคราะห์เด็กที่มีอยู่เพียง 59,000 แห่ง ทั่วประเทศ
เมื่อปี 2555 จำนวนเด็กกำพร้าในจีนอยู่ที่ 570,000 คน หมายความว่าเด็กกำพร้าเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า เมื่อล่วงเข้าสู่ปี 2564
ปี 2534 รัฐบาลจีนเปิดโครงการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมระหว่างประเทศ นับตั้งแต่นั้นมีเด็กประมาณ 110,000 คน จากจีน ถูกรับตัวไปเลี้ยงในต่างประเทศ มากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา ตามข้อมูลของ “เคอร์รี โอฮาลโลแรน” ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันศึกษาด้านการกุศลและการไม่แสวงหากำไร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีควีนส์แลนด์ ที่เขียนในหนังสือ The Politics of Adoption
“ฉันเป็นชาวแคนาดา”
เรื่องราวของแมคนีลยังทำให้คนจำนวนมากนึกถึงนักยิมนาสติกชาวอเมริกัน “มอร์แกน เฮิร์ด” ซึ่งเกิดในมณฑลกวางสีของจีน เมื่อปี 2544 โดยเธอถูกรับเลี้ยงโดยแม่บุญธรรมชื่อ “เชอริ เฮิร์ด” เมื่ออายุได้ 11 เดือน และเริ่มเล่นยิมนาสติกเมื่ออายุ 3 ขวบ ก่อนจะกลายเป็นนักยิมนาสติกชั้นนำของสหรัฐฯ
ข้อมูลจากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เผยว่า ในจำนวนเด็กจากจีน 82,456 คน ที่ชาวอเมริกันรับมาเลี้ยง ระหว่างปี 2542-2563 ร้อยละ 82.14 เป็นเด็กผู้หญิง
ความเห็นหนึ่งเขียนว่า “มีเด็กผู้หญิงกี่คนที่ไม่รับรู้ถึงศักยภาพในตนเอง เนื่องจากครอบครัวชื่นชอบเด็กผู้ชายมากกว่า” ส่วนอีกความเห็นบอกว่า “มีผู้หญิงมากความสามารถกี่คน ที่พวกเราไม่ใส่ใจ”
ชาวเน็ตจีนอีกคนยืนยันว่า แม้ผู้ชนะโอลิมปิกรายนี้จะเป็นชาวจีนโดยกำเนิด แต่เหรียญทองของแมคนีลไม่ได้สร้างเกียรติให้กับจีนเลย
ส่วนอีกความเห็นบอกว่า “ชัยชนะของเธอพิสูจน์ให้เห็นว่าเชื้อชาติไม่ได้สำคัญสำหรับกีฬา ขณะที่ชาวเอเชียหลายคนคว้าเหรียญทองและเหรียญเงินในการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่นี้”
อีกความเห็นเขียนว่า “เธอถือสัญชาติแคนาดา เครดิตทั้งหมดควรยกให้ผู้ที่เลี้ยงและฝึกฝนเธออย่างดีในแคนาดา”
“ฉันรู้สึกละอายใจที่เห็นสื่อรายงานว่า แมคนีลเกิดในจีน”
“สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงอาจเป็นการที่เรายอมปล่อยเธอไปเมื่อ 20 ปีก่อน”
สำหรับแมคนีลเองนั้น เธอระบุตัวตนชัดเจนระหว่างงานแถลงข่าวหลังการแข่งขันว่า
“ฉันเกิดในจีน และถูกรับเลี้ยงตั้งแต่ยังเด็ก และนั่นคือมรดกจากจีนเท่าที่ฉันมี ฉันเป็นคนแคนาดา ฉันเป็นชาวแคนาดามาโดยตลอด นั่นเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ในการเดินทางของฉัน เพื่อมาสู่จุดที่เป็นฉันในวันนี้ มันเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องเมื่อพูดถึงการว่ายน้ำ”
View this post on Instagram