3ยักษ์เทค “อเมซอน-แอปเปิล-เฟซบุ๊ก” ส่งสัญญาณครึ่งหลังรายได้โตลดลง

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา 3 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ได้แก่ “อเมซอนดอตคอม” “แอปเปิล อิงก์” และ “เฟซบุ๊ก อิงก์” ได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 (เมษายน-มิถุนายน 2021)

โดย “อเมซอนดอตคอม” มีรายได้รวม 1.13 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 27% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ขณะเดียวกัน “แอปเปิล” มีรายได้ทั้งหมด 8.14 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 36% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยทำรายได้จากไอโฟน 3.96 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 49.78%

ส่วน “เฟซบุ๊ก” มีรายได้ 2.91 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึง 56% โดยอัตรารายได้จากโฆษณาโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 47%

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ทั้ง 3 ยักษ์เทคจะรายงานผลประกอบการที่เพิ่มมากขึ้น แต่ทั้ง 3 บริษัทก็แถลงในทิศทางเดียวกันว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อัตราการเติบโตของบริษัทจะลดลงกว่าที่ผ่านมา

“อเมซอนดอตคอม” ภายใต้ซีอีโอคนใหม่ “แอนดี้ แจสซี” ซึ่งเพิ่งมารับดำรงตำแหน่งแทน “เจฟฟ์ เบซอส” เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา คาดการณ์ว่า ถึงแม้รายได้บริษัทจะเพิ่มขึ้น 44% และ 27% เมื่อช่วงไตรมาส 1 และ 2 ตามลำดับ จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ยอดขายในไตรมาส 3 นี้จะเพิ่มขึ้นเพียง 10-16% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา

“ไบรอัน โอลซาฟสกี” ซีเอฟโออเมซอนดอตคอม กล่าวว่า แม้ไตรมาส 2 กำไรของอเมซอนเพิ่มขึ้น 48% แต่ยอดขายเติบโตช้าลง เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคได้เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในประเทศแถบสหรัฐและยุโรป โดยไตรมาส 2 ปีที่แล้วเป็นช่วงที่โควิด-19 ยังระบาดหนักในสหรัฐและยุโรป ทำให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าทุกอย่าง ตั้งแต่สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ไปจนถึงสินค้าฟุ่มเฟือยผ่านออนไลน์ อย่างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ

อย่างไรก็ดี หลังแต่ละประเทศสามารถควบคุมสถานการณ์โควิดได้ในระดับหนึ่ง ผู้บริโภคก็หันกลับไปเดินเลือกซื้อสินค้าตามร้านค้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้ธุรกิจได้รับผลกระทบตรงนี้อย่างมาก โดยโอลซาฟสกีระบุว่า หลังจากนี้อัตราการเติบโตของรายได้บริษัทจะชะลอลงในอีกหลายไตรมาส

และรอยเตอร์สรายงานว่า “อเมซอน” ยังเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในธุรกิจทั่วสหรัฐ ถึงขนาดที่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทางบริษัทขึ้นเงินเดือนสำหรับพนักงานจาก 15 ดอลลาร์/ชั่วโมง เป็น 17 ดอลลาร์/ชั่วโมง รวมถึงแจกโบนัสให้กับพนักงานที่มาทำงานใหม่

นอกจากนี้ อเมซอนยังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนคลังสินค้า โดยบริษัทวางแผนจะเพิ่มสถานที่สำหรับการจัดเก็บและกระจายสินค้าทั่วโลกมากถึง 517 แห่ง ซึ่งจากการลงทุนทั้งด้านแรงงาน และคลังสินค้าแล้วนั้น รายงานข่าวระบุว่า บริษัทจะต้องใช้เงินลงทุนสูงหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ “แอปเปิล” แถลงว่า ปัญหาเซมิคอนดักเตอร์หรือ “ชิป” ที่กำลังขาดแคลนทั่วโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้า “แมคบุ๊ก” และ “ไอแพด” แล้วนั้น จะเริ่มมีผลกระทบต่อการผลิต “ไอโฟน” ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราการเติบโตของรายได้ชะลอตัวอย่างมากเช่นกัน โดยช่วงนั้นอาจทำให้สูญเสียรายได้มากถึง 3-4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

“ทิม คุก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแอปเปิล กล่าวว่า ชิปที่กำลังขาดแคลนอยู่ตอนนี้มาจากเทคโนโลยีการผลิตแบบเก่า อย่างไรก็ตาม ยังเป็นชิ้นส่วนจำเป็นสำหรับการผลิตไอโฟน ด้วยความต้องการที่สูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ทำให้ซัพพลายชิ้นส่วนยังไม่เพียงพอ และมีแนวโน้มที่สินค้าจะขาดตลาดในอนาคต

ส่วน “เฟซบุ๊ก” ซึ่งไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ทำกำไรเพิ่มขึ้น 2 เท่ามาอยู่ที่ 1.04 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้ออกแถลงการณ์ว่า ในช่วงครึ่งปีหลังอัตราการเติบโตรายได้ของบริษัทจะ “ชะลอตัวลงอย่างมาก” เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

สาเหตุมาจากที่ว่าช่วงโควิด-19 ระบาด เฟซบุ๊กได้รับอานิสงส์จากที่หลาย ๆ ธุรกิจเลือกใช้ช่องทางโฆษณาบนเฟซบุ๊กเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภค ซึ่งได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ และถูกบังคับให้อยู่บ้าน แต่หลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลายในหลายประเทศ และผู้คนเริ่มกลับไปซื้อสินค้าตามร้านค้า ทำให้ผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่จะเลือกใช้เฟซบุ๊กเป็นช่องทางการโฆษณาลดลง

นอกจากนี้ เฟซบุ๊กยังได้รับผลกระทบจากการอัพเดตระบบปฏิบัติการ “iOS 14.5” ที่มีฟังก์ชั่น “ความโปร่งใสการติดตามของแอปพลิเคชั่น” ทำให้แอปพลิเคชั่นต่างๆจะต้องขออนุญาตผู้ใช้งานก่อนจึงจะสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ได้

รายงานข่าวระบุว่า ฟังก์ชั่นดังกล่าวเป็นการจำกัดแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ในการติดตามผู้ใช้งานโดยไม่รู้ตัว ซึ่งหากผู้ใช้งานไอโฟนเลือกใช้งานฟังก์ชั่นดังกล่าว จะทำให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก ระบุกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคสำหรับการโฆษณาได้ยากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยักษ์เทคเหล่านี้ยังมีโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่อาจจะไม่หวือหวาเท่ากับในช่วงที่โควิด-19 ระบาดรุนแรงเท่านั้น