‘ดิจิทัลเพย์เมนต์’ อินเดียเดือด หุ้นใหญ่ ‘เทนเซ็นต์’ บุกท้ารบ

A pedestrian checks his phone as he walks past the Bombay Stock Exchange (BSE) in Mumbai on August 4, 2021. (Photo by Punit PARANJPE / AFP)

กฎการควบคุม “ธนบัตร” ที่เข้มงวดของอินเดียและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาด “ดิจิทัลเพย์เมนต์” ของอินเดียร้อนแรงยิ่งขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากการที่ผู้คนจำนวนมากในประชากรมหาศาลของอินเดียหันมาใช้ช่องทางออนไลน์ในการทำธุรกรรมทางการเงินมากขึ้น ส่งผลให้กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ข้ามชาติต่างมองเห็นโอกาสในการบุกสมรภูมิดังกล่าว

ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า “โปรซัส” (Prosus) บริษัทด้านการลงทุนยักษ์ใหญ่ของเนเธอร์แลนด์ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ “เทนเซ็นต์” ได้บรรลุข้อตกลงเข้าซื้อกิจการ “บิลเดสก์” (BillDesk) ผู้ให้บริการเกตเวย์ชำระเงินดิจิทัลชั้นนำของอินเดีย ด้วยมูลค่า 4,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โปรซัสวางแผนควบรวมกิจการของบิลเดสก์เข้ากับแพลตฟอร์ม “เพย์ยู” (PayU) ของบริษัทเพื่อขยายบริการดิจิทัลเพย์เมนต์ในอินเดีย และก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการชำระเงินออนไลน์ชั้นนำโลก เนื่องจากปัจจุบันเพย์ยูให้บริการในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป ละตินอเมริกา แอฟริกา รวมถึงอินเดีย

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวยังต้องรอการอนุมัติจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าแห่งอินเดีย (ซีซีไอ) ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจสอบ และได้รับการอนุมัติในช่วงต้นปี 2022

“บ็อบ ฟาน ดิก” ซีอีโอของโปรซัส กรุ๊ป แถลงข่าวระบุว่า “การควบรวมจะนำไปสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจดิจิทัลเพย์เมนต์ทั้งในอินเดียและในระดับโลก ยังมีโอกาสขยายตัวในระบบนิเวศฟินเทคของอินเดีย เนื่องจากชาวอินเดียกำลังเปลี่ยนจากการใช้จ่ายเงินสดเป็นธุรกรรมดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ”

ทั้งนี้ โปรซัสได้ลงทุนในอินเดียมาอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่ภาคการเงิน แต่รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ อย่าง “บายจูส์” (ByJu’s) สตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา “มีโช” (Meesho) บริษัทอีคอมเมิร์ซไปจนถึงแอปพลิเคชั่นจัดส่งอาหารอย่าง “สวิกกี้” (Swiggy)

โดยหากข้อตกลงควบรวมเพย์ยู-บิลเดสก์ได้รับการอนุมัติจากซีซีไอ จะทำให้เม็ดเงินการลงทุนของโปรซัสในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปริมาณการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ในอินเดีย ตั้งแต่ปี 2005 จนถึงปัจจุบันเกือบ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ โปรซัสเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ใน “เทนเซ็นต์” บริษัทเทคโนโลยีจีนด้วยสัดส่วน 28.9% ซึ่งการหันไปลงทุนในอินเดียมากขึ้น แสดงให้เห็นความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ในจีนที่มีการควบคุมปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาโปรซัสยังได้ขายหุ้นเทนเซ็นต์ราว 2% คิดเป็นมูลค่าถึง 14,670 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ตลาดดิจิทัลเพย์เมนต์ของอินเดียมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลของธนาคารกลางอินเดีย (อาร์บีไอ) ชี้ว่า ธุรกรรมทางการเงินดิจิทัลของอินเดียขยายตัวกว่า 80% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และประมาณการว่าจะมีผู้ใช้บริการชำระเงินดิจิทัลรายใหม่ในอินเดียเพิ่มขึ้นอีกกว่า 200 ล้านคน ภายใน 3 ปีข้างหน้า

ไม่เพียงโปรซัสเท่านั้นที่เห็นโอกาสดังกล่าว แต่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายรายต่างมองเห็นแนวโน้มที่ดีของอินเดียอย่าง “เพย์ทีเอ็ม” (Paytm) ดิจิทัลเพย์เมนต์รายใหญ่ของอินเดียที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แบงก์, เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ และแอนต์ กรุ๊ป ก็มีแผนเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) โดยตั้งเป้าระดมทุนถึง 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อขยายธุรกิจในอินเดียเช่นกัน