‘ยูเออี’ ผุดโครงการเศรษฐกิจใหม่ ลดพึ่งพา ‘น้ำมัน’ ดึงดูดแรงงานต่างชาติ

ภาพ: REUTERS/Ahmed Jadallah

ภาคอุตสาหกรรมในหลายประเทศที่ต้องหยุดชะงักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงนโยบายของประเทศยักษ์ใหญ่ที่ต่างหันมาให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศของโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิ่งลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมา กระทั่งหลายประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ต้องเร่งปรับตัว เพื่อรับมือกับทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมน้ำมันที่กำลังเปลี่ยนไป

รอยเตอร์สรายงานว่า “สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์” ได้เปิดตัวโครงการริเริ่มทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศในชื่อ “Projects of the 50” โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มขีดความ สามารถในการแข่งขัน และลดการพึ่งพา อุตสาหกรรมน้ำมันในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ของประเทศ ในวาระครบรอบ 50 ปีการก่อตั้งยูเออีในปีนี้ โดยรายละเอียดของโครงการทั้งหมดจะทยอยเปิดตัวตลอดเดือน ก.ย.นี้ แต่ระหว่างการเปิดตัวโครงการครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดของโครงการบางส่วน

โดยเฉพาะการอัดฉีดเม็ดเงินให้กับธนาคารเพื่อการพัฒนาเอมิเรตส์ (อีดีบี) 1,360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น และจัดสรรอีก 1,360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการนำเข้าเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรม

“ซาราห์ อัล อามิรี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีขั้นสูง ระบุว่า “ยูเออีกำลังขับเคลื่อนไปสู่การเป็นผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมระดับโลกในอีก 50 ปีข้างหน้า หลังจากที่มีเป้าหมายเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา”

นอกจากการลงทุนต่าง ๆ แล้ว ยูเออียังดำเนินการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเพื่อดึงดูดผู้ประกอบการและแรงงานต่างชาติ โดยออก “วีซ่าเขียว” ประเภทใหม่ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น อนุญาตให้แรงงานสามารถพำนักอยู่ในประเทศต่อไปได้อีก 3 เดือน เมื่อสิ้นสุดสภาพการจ้างงาน จากเดิมที่ต้องออกนอกประเทศใน 30 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้แรงงานมีเวลาสำหรับหางานใหม่

นอกจากนี้ วีซ่าเขียวยังให้สิทธิการพำนักในยูเออีแก่ผู้ประกอบการต่างชาติที่มีกิจการของตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีนายจ้างหรือมีข้อผูกมัดกับบริษัทในยูเออี และยังอนุญาตให้แรงงานสามารถนำบุตรอายุไม่เกิน 25 ปี เข้ามาในยูเออีได้ จากเดิมที่กำหนดอายุไม่เกิน 18 ปี

เป้าหมายของนโยบายดังกล่าวคือการดึงดูดผู้ประกอบการต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ให้เข้ามาในยูเออีมากขึ้น

และเร็ว ๆ นี้ยังจะมีการเปิดตัววีซ่าสำหรับผู้ทำงานอิสระหรือฟรีแลนซ์ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อเอื้อให้แรงงานต่างชาติสามารถเข้าถึงภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการทักษะขั้นสูงอีกด้วย

โครงการเหล่านี้คาดว่าจะสามารถเพิ่มศักยภาพในการผลิตของประเทศให้ได้ 30% และเพิ่มปริมาณการส่งออกไปยังตลาดสำคัญอย่าง จีน และสหราชอาณาจักร อย่างน้อย 10% ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในเป้าหมายหลักในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030

โดยปีที่ผ่านมา ยูเออีได้ออกมาตรการหลายอย่างเพื่อดึงดูดการลงทุนต่างชาติเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19

นับเป็นความพยายามล่าสุดของยูเออีในการกระจายความเสี่ยงจากอุตสาหกรรมน้ำมันไปยังภาคส่วนอื่น ๆ หลังจากที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจของยูเออีหดตัวลง 6% ในปี 2020 และยังสร้างความเสียหายให้กับศูนย์กลางการท่องเที่ยวหลักอย่าง “ดูไบ” อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ยูเออียังคงต้องเผชิญกับคู่แข่งสำคัญอย่าง “ซาอุดีอาระเบีย” ประเทศเพื่อนบ้านที่ปรับนโยบายใหม่ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน ซึ่งล้วนเป็นสัญญาณการปรับตัวทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญของประเทศตะวันออกกลาง ในโลกที่อุตสาหกรรมน้ำมันอาจไม่สดใสอย่างเคย